Learning Log ในห้องเรียน
6th October
,
2015
อะไรคือจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ภาษา
ภาษาคือ
สัญลักษณ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสื่อความเข้าใจระหว่างกันของคนในสังคม ช่วยสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ช่วยสร้างความสัมพันธ์ของคนในสังคม ถ้าคนในสังคมพูดกันด้วย
ถ้อยคำที่ดีจะช่วยให้คนในสังคมอยู่กันอย่างปกติสุข ถ้าพูดกันด้วยถ้อยคำไม่ดี จะทำให้เกิดความบาดหมางน้ำใจกัน ภาษาจึงมีส่วนช่วยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ของคนในสังคม
ภาษาเป็นสมบัติของสังคม เราจะเห็นได้ว่าปัจจุบัน ภาษามีจำนวนมาก
จากการสำรวจพบว่าทั่วโลกมีภาษาแตกต่างกันประมาณ 5,000 ภาษา
หนึ่งภาษาที่สำคัญที่ทั่วโลกใช้กันคือ ภาษาอังกฤษ
เพราะภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนไทย และคนทั่วโลกไปแล้ว
มนุษยชาติทุกวันนี้สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง
การใช้อินเตอร์เน็ต การดูทีวี การดูภาพยนตร์ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
หนังสือคู่มือทางด้านวิชาการต่างๆ ฯลฯ ดังนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเรียนรู้และศึกษาภาษาอังกฤษให้เข้าใจ
ซึ่งในการเรียนภาษาอังกฤษจะต้องมีความรู้ทางด้านเนื้อหาเป็นอันดับแรก นั่นคือ
เรียนรู้หลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
เพราะไวยากรณ์คือหัวใจหลักของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อนำไปสู่ทักษะต่างๆ
คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน และแปล ในการศึกษาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษครั้งนี้ ศึกษาเรื่อง noun
clause เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใช้และพบเจอบ่อย เช่น จากนิยาย
นิทาน เพลง และในภาษาพูดในชีวิตประจำวันโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังใช้ noun
clause อยู่ ซึ่งบางครั้งเราใช้ noun clause ไม่ถูกต้อง
ซึ่งในการศึกษาและเรียนรู้noun clause จากในห้องเรียน
และได้ศึกษาเพิ่มเติมนอกห้องเรียน ทำให้ดิฉันมีความเข้าใจ และสามารถใช้ประโยค noun
clause ในชีวิตประจำวันได้
ในการเรียนรู้เรื่อง noun clauses นั้น ก่อนอื่นต้องมารู้จักและเข้าใจก่อนว่า noun Clauses คืออะไร ซึ่งในภาษาไทยนั้นคือ นามานุประโยค คือ
ประโยคย่อยทำหน้าที่เหมือนคำนาม
คือเป็นประธานของประโยคหลัก หรือเป็นกรรม
หรือส่วนเติมเต็มของประโยคหลักก็ได้ มักมีคำเชื่อม “ว่า ให้” เช่น
ประโยความซ้อน ประโยคหลัก ประโยคย่อย คำเชื่อม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกล่าว เยาวชนไทยต้องซื่อสัตย์ ว่า
เยาวชนไทยต้องซื่อสัตย์ สุจริต
(เป็นกรรม)
ในภาษาอังกฤษ
noun
clause คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค ในการสนทนาในชีวิตประจำวัน
เราอาจได้ยินหรือใช้ noun clauses โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้ noun
clauses อยู่ เช่น
I think you’re very
pretty.
I hope you pass the
exam.
ประโยคเต็มที่เป็นทางการ
คือ
I think that you’re very pretty.
I hope that you pass the exam.
Noun clauses เหล่านี้
เมื่ออยู่ในตำแหน่งของประธานจะเรียกว่า "Subject noun clauses"
และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของกรรม จะเรียกว่า "Object noun
clauses" ดังตัวอย่าง
Subject
Noun Clauses
That scores are going
down is clear.
(มักใช้ในภาษาเขียนหรือภาษาทางการ)
ที่ว่าคะแนนลดลงเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน
What he said confused us
terribly.
สิ่งที่เขาพูดทำให้พวกเราสับสนมาก
Object
Noun Clauses
I feel that you overestimated the damages.
ผมรู้สึกว่าคุณประมาณการความเสียหายเกินความเป็นจริง
I don’t know where she is.
ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
เมื่อเรารู้ความหมายของ
noun clause แล้ว ต่อมาเราต้องรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของnoun
clause ว่ามีหน้าที่อะไร และคำที่ใช้นำหน้า noun clause มีคำว่าอะไรบ้าง ซึ่งหน้าที่ของ Noun Clauses
ทำหน้าที่ต่างๆดังต่อไปนี้ ในตัวอย่างข้างล่างประโยค a มีคำนามหรือกลุ่มคำนาม ( noun
phrase) และประโยค b มี noun clause ในตำแหน่งเดียวกันกับประโยค a
1. Subject
a. His statement is correct.
b. What he said is correct.
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
What he
said (สิ่งที่เขาพูด) ใน
ประโยค b เป็นประโยคย่อย คือมีภาคประธาน he และภาคแสดง said โดยซ้อนอยู่ในประโยคอีกประโยคหนึ่งและทำหน้าที่เป็น
ประธาน ของประโยคนั้น เทียบได้กับกลุ่มคำนาม His statement (คำพูดของเขา)
ซึ่งเป็นประธานของประโยค a
2. Direct Object
a. We doubt his way of doing it
.
b. We doubt how he did it.
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
how he
did it เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็น
กรรมตรง เทียบได้กับกลุ่มคำนาม his way of doing it ในประโยค
a
3. Indirect Object
a. He told the story to everyone .
b. He told the story to whomever he met
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
whomever
he met เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็น
กรรมรอง เทียบได้กับกลุ่มคำนาม everyone
ในประโยค a
4. Object of a Preposition
a. His relatives are curious
about his living place .
b. His relatives are curious
about where he lives .
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
where
he lives เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็น
กรรมตามหลังบุพบท เทียบได้กับกลุ่มคำนาม his living place ในประโยค
a
5. Subject Complement
a. The question is about the
timing of parliament dissolution .
b. The question is (about)
when parliament will be dissolved.
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
when
parliament will be dissolved เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b
โดยทำหน้าที่เป็น ส่วนเสริมประธาน ที่ตามหลัง คำกริยา BE เทียบได้กับกลุ่มคำนาม the
timing of parliament dissolution ในประโยค a
6. Object Complement
a. You may name him Sam .
b. You may name him whatever
you like .
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
whatever
you like เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็น
ส่วนเสริมกรรม เทียบได้กับ Sam ในประโยค a
7. Appositive
a. Jack, the hero in the
story , needs to prove his innocence.
b. The fact that he was not
at the murder scene needs to be proved.
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า
that he
was not at the murder scene เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยค b โดยทำหน้าที่เป็น appositive
เทียบได้กับกลุ่มคำนาม the hero in the story ในประโยค
a
noun
clause มีคำที่ใช้นำหน้าเพื่อเชื่อมกับ
main
clause คำที่ใช้นำหน้าดังกล่าว
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ 1.That, 2. Wh-words:
who, whoever, whom, whomever, whose, what, whatever, which, whichever,
where, wherever, when, whenever, why, how, และ 3. If/
whether (… or not)
คำนำหน้า noun clause ออกเป็น 3
กลุ่มย่อยคือ 1.That, 2. Wh-words: who, whoever, whom, whomever, whose, what,
whatever, which, whichever, where, wherever, when, whenever, why, how, และ 3. If/ whether (… or not)
1 That
that นำหน้า noun clause ที่เป็นประโยคทั่วไปไม่ว่าจะเป็นประโยคบอกเล่า (affirmative statement)
หรือ ประโยคปฏิเสธ ( negative
statement) ตัวอย่างเช่น
Affirmative statement: That he
will come is certain. (การที่
เขาจะมา เป็นสิ่งแน่นอน)
Negative
statement: Jane replied that her boss would not be in tomorrow (เจนตอบ ว่า เจ้านายของเธอจะไม่อยู่พรุ่งนี้)
คำว่า that มีความหมายว่า “ การที่ ” ในกรณีที่ noun
clause เป็นประธานของคำกริยาใน
main clause และ that มีความหมายว่า “ ว่า ” ในกรณีที่ noun clause เป็นกรรม ดังในตัวอย่างข้างต้น
อนึ่ง noun clause ที่นำหน้าด้วย that มีโครงสร้างของประโยคครบถ้วน
การนำ that ไปวาง ข้างหน้า noun clause เป็นเพียงการเชื่อม noun clause
กับ main clause
(1) หน้าที่ของ noun clause
ที่นำหน้าด้วย that
that สามารถใช้นำหน้า noun clause
ที่ทำหน้าที่เป็น ประธาน กรรม ส่วนเสริมประธาน
กรรมตามหลัง
บุพบท และ appositive ตัวอย่างเช่น
Subject: That
the majority of people in developing countries live in dire poverty is true.
Object: The government believes that the national economy will recover soon.
Subject complement: His ambition was that he wanted to become prime minister.
Object of a preposition: The twins are similar in that they love folk songs.
Appositive: The rumor that there
is a serpent in the Mae Kong River may be true.
2) การละคำนำหน้า that
that ที่นำหน้า noun clause ที่ทำหน้าที่บางหน้าที่ใน complex
sentence สามารถจะละได้ในกรณี ต่อไปนี้
กรณีที่ noun clause เป็น object
We believe (that)
he told the truth.
The police
assured us (that) the children
would be found safe and sound.
I wish (that)
I would win the first prize.
กรณีที่ noun clause เป็น subject complement
The reason is (that) he speaks English fluently.
My opinion is (that) you'd better stay home.
ตามหลังคำคุณศัพท์
I am sure (that)
he can get a good job.
They are afraid (that)
they cannot catch the 6 o’clock train.
* ( ในกรณีที่ noun clause เป็นประธาน ไม่ สามารถละ that ได้)
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้ that
appositive noun clause จะนำหน้าด้วย that เท่านั้นและไม่มีการละ that
The news that she
won the beauty contest was published in all of the daily newspapers.
noun clause ที่นำหน้าด้วย that ที่ใช้ตามหลังคำบุพบทมีเป็นจำนวนน้อย
โดยที่คำบุพบทที่จะตามด้วย “that”
clause มักตามหลังคำคุณศัพท์หรือคำกริยาที่แสดง ความเหมือนกันหรือต่างกัน เช่น
similar, alike, different, differ
John and his
brother are alike in that they enjoy folk music.
The two girls
differed in that one was quiet while the other was talkative.
noun clause ที่นำหน้าด้วย that ไม่สามารถใช้เป็นกรรมรองหรือส่วนเสริมกรรมได้
that ที่นำหน้า noun clause ที่ทำหน้าที่ประธานของประโยค สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้าง โดยใช้ impersonal pronoun “ it” นำหน้าประโยค แล้วนำ noun
clause ไปไว้ท้ายประโยคได้
That he showed up at the party
was a great surprise.
It was a great
surprise that he showed up at the party .
2
Wh –words
wh -words ใช้นำหน้าข้อความที่เป็นลักษณะการถามข้อมูล
เช่น
I doubt why you
want statistical figures .
หน้าที่ของ noun clause ที่นำหน้าด้วย wh-words
noun clause ที่นำหน้าด้วย wh
-words อยู่ในตำแหน่งของคำนามในประโยคได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้น appositive โดย noun clause ที่นำหน้าด้วย wh -words มีหน้าที่ต่างๆดังนี้
Subject:
What he did was a serious mistake.
Object: She told me how
I could raise more money for charity.
Indirect object: The man enjoyed explaining his theory to whoever was interested in it.
Object of a preposition: The question of when
the election will be held will be answered by the Election Committee
tomorrow.
Subject complement: You are what
you eat.
Object complement: People call him whatever
they like.
wh-words ที่ใช้นำหน้า noun clause จะมีหน้าที่บางประการใน noun clause ดังนี้ who, whoever, whom, whomever
ทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun
clause
Whoever wins must treat us to lunch.
I want to know who he has chosen to marry .
whose คำนามที่ตามหลัง whose ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม กรรมตามหลังบุพบท และส่วนเสริมประธาน ใน noun clause
I asked whose money was stolen.
Tell me whose book
you are reading.
John doubted in whose
house Jane lives.
I want to know whose book
this is.
what, whatever ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม และส่วนเสริมประธานใน noun clause
I'm afraid of what will happen after that.
What I did was acceptable.
I want to know what her name is.
You should give him whatever he
likes.
which,
whichever มักมีคำนามตามหลัง
โดยทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun clause
I don't know which brand is worth buying.
It's half price
for whichever book you buy.
You can choose whichever
you like.
where, when, why, how ทำหน้าที่เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใน noun
clause
:: where, wherever บอกสถานที่
Where he
will stay has yet to be decided.
You should ask him where
he wants to stay .
Wherever
you go is the right place for me.
:: when, whenever บอกเวลา
You must find out when
he is due to arrive at the airport.
We are interested in when the
conflict will be resolved.
I don't care whenever
he does that.
:: why บอกสาเหตุหรือเหตุผล
Why he
went to China was not known.
Nopadol told the
teacher why he could not finish his
assignment .
:: how บอกกิริยาอาการ
Describe how you felt at that time .
How he was involved in the scandal needs to be
investigated.
3 If/Whether (... or not)
ใช้นำหน้าข้อความที่เป็นลักษณะการถามว่าใช่หรือไม่ if ใช้ได้เฉพาะนำหน้า
noun clause ที่เป็นกรรม เท่านั้น ส่วน whether ใช้ได้ทุกกรณี
I wanted to know
if/whether I could accompany him .
He asked if/whether or not he could take a day off.
There is no answer to whether
the political turmoil will end soon.
Whether
our team will win or not depends on luck.
ข้อสังเกต whether จะมี or not ตามหลังทันที ต่อท้ายประโยค หรือไม่มีก็ได้ แต่ if ไม่สามารถ มี or not ตามหลัง
I wonder whether or not the weather will be fine on the day
of our departure.
I wonder if/whether the weather will be fine on the day of
our departure or not .
I wonder if/whether
the weather will be fine on the day of our departure.
เมื่อเราได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่อง
noun
clause ทั้งความหมาย noun clause คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค
หน้าที่ของ noun clause คือทำหน้าที่เหมือนคำนามคือ ประธาน
กรรม ส่วนเสริมประธาน กรรมตามหลังบุพบท และ appositive และคำนำหน้า noun clause ได้แก่ that ,who, whoever,
whom, whomever, which,
whichever, where when, wherever, whenever, why, how, if และ whether
ทำให้ดิฉันมีความเข้าใจเรื่อง noun clause
มากขึ้นและสามารถนำประโยคที่ได้เรียนมาดัดแปลงและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราจะเห็นได้ว่าภาษามีแบบแผน
และหลักการ ภาษาในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง
กริยาอาการที่แสดงออกมาแล้วสามารถทำความเข้าใจกันได้
ไม่ว่าจะเป็นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์
ส่วนภาษาในความหมายอย่างแคบนั้น หมายถึง เสียงพูดที่มนุษย์ใช้สื่อสารกันเท่านั้น
ซึ่งในการเรียนรู้ภาษานั้น สิ่งสำคัญเบื้องต้นที่ผู้เรียนต้องรู้คือ ไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหนึ่งที่ต้องศึกษาไวยากรณ์
เพราะไวยากรณ์คือหัวใจสำคัญของภาษาอังกฤษ
เป็นรากฐานที่เราต้องรู้และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเพื่อนำไปสู่ทักษะอื่นๆได้ คือ
ฟัง พูด อ่าน เขียนและแปล เราจะต้องตระหนักและให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
ในครั้งนี้ดิฉันได้ศึกษาเรียนรู้เรื่อง noun clause ทั้งในและนอกห้องเรียน
ทำให้ดิฉันมีความรู้เรื่อง noun clause มากยิ่งขึ้น
สามารถนำประโยคต่างๆมาดัดแปลงในชีวิตประจำวันได้ ฉะนั้น ดิฉันคิดว่าภาษา
มีความสำคัญมากในปัจจุบันนี้
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเพราะคนส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารกัน
เราจะเห็นว่าสื่อต่างๆในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ
จำเป็นอย่างมากที่เราต้องค้นคว้าหาความรู้และทำความเข้าใจไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้ถ่องแท้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น