วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log (นอกห้องเรียน) ฝึกทักษะการฟัง 13rd October, 2015


Learning Log   (นอกห้องเรียน)
   ฝึกทักษะการฟัง
         13rd   October, 2015

                การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะการเรียนรู้คือชีวิต ถ้าหากปราศจากซึ่งการเรียนรู้แล้ว ชีวิตจะไม่เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ การเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็นมาก เราทุกคนต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอเพื่อพัฒนาชีวิตและยกระดับชีวิตให้ดีขึ้น การเรียนรู้ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน ภาษานับว่าสำคัญมากในการดำรงชีวิต หากปราศจากภาษาแล้ว การสื่อสารก็ย่อมผิดพลาดและนำมาซึ่งปัญหาและความวุ่นวายในที่สุด เพราะภาษาคือ เครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ ซึ่งภาษาในโลกนี้มีมากมาย หลากหลายภาษา หลากหลายวัฒนธรรม หนึ่งในภาษาทั้งหลายนั้น คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการติดต่อส่อสาร ดังนั้น เราทุกคนจำเป็นอย่างยิ่งต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อสามารถเข้าใจ สื่อสารกับคนต่างวัฒนธรรม ต่างสัญชาติได้ และยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างกันด้วย เป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ในการฝึกฝนภาษาอังกฤษของดิฉันในสัปดาห์นี้ ฝึกทักษะการฟัง เห็นได้ว่าทักษะการฟังเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญที่เราต้องฝึกฝนเพื่อสามารถฟังเจ้าของภาษาได้อย่างเข้าใจ  ในการฝึกฟังภาษาอังกฤษนั้นมีหลายวิธี เช่น ฝึกฟังภาษาอังกฤษจากเพลง จากข่าว จากหนัง เป็นต้น ซึ่งวิธีที่ดิฉันฝึกฟังในครั้งนี้คือ ฝึกฟังจากหนัง  ดิฉันได้ฝึกตั้งแต่วันที่ 13 เดือนตุลาคม พ..2558 ถึงวันที่ 19 เดือนตุลาคม พ.. 2558 ดิฉันตั้งใจเป็นอย่างมากและหวังว่าในการฝึกครั้งนี้ ทำให้การฟังภาษาอังกฤษของดิฉันดีขึ้นกว่าเดิม

                วันที่ 13 เดือนตุลาคม พ..2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากหนัง เรื่อง Night at the museum secret of the tomb.  เหตุผลที่ดิฉันเลือกฝึกเรื่องนี้คือ ดิฉันชอบหนังแนวตลก สนุกสนาน เกินความเป็นจริง จินตนาการ วิธีการฝึกของดิฉันคือ ดิฉันได้ฝึกฟังทั้งหมด 2 รอบ รอบแรกจะฟังเสียงอังกฤษ  ไม่มีซับไตเติ้ลทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อดูว่าดิฉันสามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดมากน้อยเพียงใด รอบที่ 2 ฝึกฟังเสียงภาษาอังกฤษแบบมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ และถ้าประโยคไหนไม่เข้าใจจะเปิดซับไตเติ้ลภาษาไทย เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีความแปลกประหลาดมาก มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ชื่อแลร์รี่ ในคืนนั้นมีการจัดงานเปิดพิพิธภัณฑ์หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นในคืนนั้นเอง ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น สัตว์ทั้งหลายและสิ่งของต่างๆในพิพิธภัณฑ์เคลื่อนย้ายได้ มีชีวิต และได้ทำร้ายผู้คนที่มาร่วมงาน และผู้คนเหล่านั้นได้หนีออกจากงานไปจนหมด แลร์รี่ รู้แล้วว่าเมื่อถึงเวลากลางคืน สิ่งต่างๆที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์จะมีชีวิต  แต่กลางวันจะไม่มีชีวิตซึ่งเป็นหุ่นจำลองทั่วๆไป  แต่เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมสัตว์พวกนี้และสิ่งของต่างๆในพิพิธภัณฑ์ได้ทำร้ายผู้คนที่มาร่วมงานและไม่แสดงไปตามแผนที่วางไว้  แลร์รี่ต้องการหาคำตอบ และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากอะไร  เขาได้ใช้ความพยายามและความอดทนของเขาในการหาคำตอบครั้งนี้ จากที่เขาได้ไปค้นคว้าจากหอสมุดและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีตนั้นซึ่งรู้เกี่ยวกับแผ่นจารึก ปรากฏว่า ผ่านจารึกนี้เป็นมนต์สะกดให้สิ่งต่างๆในพิพิธภัณฑ์มีชีวิต เขารู้ว่าฟาโรห์และภรรยาของฟาโรห์สามารถบอกความลับเกี่ยวกับแผ่นจารึกนี้ได้ เขาจึงเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ที่ฟาโรห์และภรรยาของฟาโรห์อยู่ในอียิปต์พร้อมกับสัตว์ต่างๆ หุ่นขี้ผึ้ง  ลูกชายของฟาโรห์ พร้อมกับแผ่นจารึกแผ่นนั้น และปรากฏว่าพิพิธภัณฑ์ที่อียิปต์ เมื่อเวลากลางคืนก็มีชีวิตเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากแผ่นจารึกนั้น ได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายมากมาย สัตว์ต่างๆและสิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์นั้นทำร้ายพวกเขาและมีการต่อสู้กัน หลังจากนั้น ได้พบกับกษัตริย์ฟาโรห์ เขาได้บอกว่า  ลูกชายของเขาเกิดตอนเที่ยงคืน และได้พบกับความมหัศจรรย์ที่มนุษย์ได้แต่ฝันถึง แต่เมื่อฟาโรห์ได้มองหน้าลูกของเขาพบว่า ลูกของเขามีค่ายิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทั้งมวลในโลกอดีต เขาได้ค้นหาสูตรต่างๆเพื่อทำให้ลูกของเขาไม่ตาย มันถูกหลอมรวมขึ้นในวิหารแห่งคอนซูเทพแห่งดวงจันทร์ กลายเป็นแผ่นจารึกแห่งอัครเมนรา แผ่นจารึกแผ่นนี้จะต้องโดนแสงพระจันทร์ เพื่อที่ครอบครัวสามารถอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ไม่มีวันตาย แต่ตอนนี้แผ่นจารึกแผ่นนี้กำลังจะหมดแสง ทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องตาย ทันใดนั้นเองผู้ชายที่ช่วยแลร์รี่และสัตว์ต่างๆให้รอดพ้นจากไดเสาร์ในพิพิธภัณฑ์ ชื่อเอริคนั้นต้องการแผ่นจารึก เพราะเขาได้ตามหามันมานานแสนนานเพราะคิดว่าแผ่นจารึกนั้นสามารถทำให้เขามีเกียรติและมีชื่อเสียงได้ พวกเขาได้ต่อสู้กันเพื่อต้องการแผ่นจารึกนั่น สุดท้ายแล้วเอริคก็ยอมส่งแผ่นจารึกให้แลร์รี่ เพราะเห็นว่าที่แลร์รี่พูดนั้นเป็นความจริง ตอนนี้ทุกคนกำลังจะตาย และแลร์รี่ได้นำแผ่นจารึกนั้นส่องไปที่แสงจันทร์ และสิ่งต่างๆที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ก็กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม   
                วันที่ 14 เดือนตุลาคม พ..2558 ถึง  วันที่ 15 เดือนตุลาคม พ..2558  ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังเรื่อง Brave เหตุผลที่เลือกฝึกเรื่องนี้ คือ หนังเรื่องนี้เป็นหนัง animation มีความสนุกสนาน  วิธีการฝึกคือ ดิฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ทั้งหมด  2 รอบ รอบแรกจะฟังแบบไม่มีซับไตเติ้ลทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รอบที่สองจะฟังแบบมีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความกล้าหาญ เธอเป็นเจ้าหญิง เธอมีน้องแฝดเป็นผู้ชายสามคน  พ่อของเขาขาขาด เนื่องจากถูกหมีที่ชื่อว่ามอร์ดู กัดขาทำให้พ่อของเขาแค้นหมีตัวนี้มาก และต้องการที่จะฆ่าหมีตัวนี้ แต่ไม่เคยได้เห็นหมีตัวนี้อีกเลย พ่อของเมริดาได้สอนให้เธอยิงธนูตั้งแต่เด็กๆ เธอเป็นเด็กที่มีความกล้าหาญมาก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นลูกกษัตริย์ แต่ท่าทีและบุคลิกของเธอไม่เหมือนกับลูกกษัตริย์เลย เธอดูแข็งแกร่ง  ไม่มีความเรียบร้อย เมื่อเธอโตขึ้น แม่ของเธอต้องการให้เธอมีคู่ครอง เพื่อสามารถดูแลบ้านเมืองได้ แต่เมริดาไม่ต้องการแต่งงาน เธอต้องการอิสระและใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ ไม่มีการบังคับจากแม่ ซึ่งแม่ของเธอบังคับเธอทุกอย่าง พยายามสอนเธอให้เป็นเจ้าหญิง วันหนึ่งได้มีเจ้าชายจากเมืองต่างๆเสด็จมาที่วังของเธอ เพื่อมาแข่งขันกัน ใครชนะคนนั้นจะได้แต่งงานกับเมริดา เมริดาบอกว่าให้ยิงธนู ซึ่งหนุ่มๆทั้งหลายไม่สามารถยิงตรงเป้าได้ เมริดาได้ยิงให้หนุ่มๆทั้งหลายดู และเธอยิงได้ตรงเป้าทั้งสามครั้ง ทำให้หนุ่มทั้งหลายอับอาย แม่ของเมริดาโกรธมากและให้เธอเลือกคู่ครองโดยเร็วที่สุด เมริดาไม่พอใจและได้ออกจากพระราชวัง เธอได้ไปเห็นลูกไฟนำทาง ลูกไฟนำทางได้นำเธอไปที่บ้านของหญิงชรา ซึ่งเธอเป็นแม่มด เมริดาต้องการให้แม่มด  ทำให้แม่ของเธอเปลี่ยนใจเรื่องการแต่งงาน โดยแม่มดต้องการค่าตอบแทน เธอเลยให้สร้อยคอที่มีค่าของเธอไป  แม่มดได้ทำเค้กวิเศษให้เมริดาและให้เธอนำไปให้แม่ของเธอกิน เพื่อแม่ของเธอจะได้เปลี่ยนใจ เมื่อแม่ของเมริดาได้กินเข้าไปนั้น ปรากฏว่า แม่ของเธอกลายเป็นหมี ทุกคนในพระราชวังได้กลิ่นเหม็น เหมือนกับกลิ่นของหมี คิดว่าต้องเป็นมอร์ดูแน่นอน จึงออกค้นหาทั่วพระราชวัง เมริดาและแม่พยายามหาทางออกจากพระราชวัง ซึ่งเมริดาให้น้องแฝดของเธอ วางอุบายให้คนในวัง หลงเชื่อคิดว่าเป็นเงาของหมีแต่จริงๆแล้วเป็นเงาของไก่  เมริดาและแม่ออกจากพระราชวังได้อย่างสำเร็จ และหาทางไปบ้านของแม่มดเพื่อต้องการถอนคำสาป ในตอนนั้นเองลูกไฟก็ได้ปรากฏขึ้น เมริดาและแม่เดินไปตามลูกไฟแต่ก็ไม่เจอ ทั้งสองได้นอนหลับอยู่ท่ามกลางป่า เมริดาไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เมื่อถึงรุ่งเช้า แม่ของเมริดาได้จัดเตรียมลูกเชอร์รี่ที่ได้หามาให้เธอกิน แต่ลูกเชอร์รี่นั้นกินไปได้ เพราะเป็นพิษ เมริดาจึงเดินไปที่ลำธาร และยิงปลาในน้ำด้วยธนูของเธอ และย่างให้แม่ของเธอกิน เมริดาและแม่เข้าใจกันมากขึ้น เมริดาและแม่ได้เดินทางต่อไปหาแม่มด และได้พบแม่มด แม่มดบอกว่าถ้าต้องการถอนคำสาป ต้องเชื่อมความสัมพันธ์ที่ขาดหายไปให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม  เมริดานึกขึ้นได้ว่าต้องเป็นผ้าม่านที่เธอทำให้ขาดนั้นแน่นอน ทั้งสองจึงรีบกลับไปพระราชวังเพื่อซ่อมผ้าม่านให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม  เมื่อกลับไปถึงพระราชวัง ทุกคนได้เห็นแม่ของเมริดา และคิดว่าเป็นมอร์ดู เมริดาถูกพ่อของเธอขังไว้ในห้องเพราะไม่อยากให้เธอขัดขวางการฆ่าหมีในครั้งนี้  แม่ของเธอได้หนีไป และทุกคนในพระราชวังได้วิ่งตามไปเพื่อจะฆ่า เมริดาได้ตามไปพร้อมกับม่านที่เธอได้เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนกำลังจะฆ่าแม่ของเธอ ทันใดนั้นเองหมีมอร์ดูก็ได้มา และทุกคนรู้ความจริงว่าหมีที่เห็นนั้น ไม่ใช่มอร์ดู แต่เป็นพระราชินี พระราชินีได้ต่อสู้กับมอร์ดู สุดท้ายแล้วมอร์ดูได้ตายเพราะโดนต้นไม้ต้นใหญ่ทับตาย เมริดาได้นำม่านที่เย็บแล้วมาคลุมที่ลำตัวของแม่ และแม่ของเธอกลับมาเป็นปกติ พระราชินีและพระราชาได้ยกเลิกการแต่งงาน เมริดาและครอบครัวเข้าใจกันและอยู่อย่างมีความสุขในพระราชวัง
                วันที่ 16 เดือนตุลาคม พ..2558   ถึงวันที่ 17 เดือนตุลาคม พ..2558   ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังเรื่อง A Midsummer Night’s Dream ฝัน ณ. คืนกลางฤดูร้อน เหตุผลที่เลือกดูเรื่อง คือ ชื่อเรื่องของหนังน่าสนใจ ทำให้อยากรู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร ในการฝึกครั้งนี้ ดิฉันได้ดูทั้งหมด 2 รอบ รอบแรกเปิดไตเติ้ลภาษาไทย เสียงภาษาอังกฤษ รอบที่สองปิดซับไตเติ้ล และฟังเสียงภาษาอังกฤษ เรื่องนี้เกี่ยวกับชายหนุ่มชาวเอเธนส์คนรักของเฮอร์เมีย ในเรื่องนี้ความสัมพันธ์ของเขากับเฮอร์เมีย สะท้อน ให้เห็นถึงแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ที่เต็มไปด้วยอุปสรรค์ เนื่องจากเขาไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับเฮอร์เมียได้อย่างเปิดเผย เพราะอีเจียสพ่อของเฮอร์เมียต้องการให้เธอแต่งงานกับดิมีเทรียส ต่อมาเมื่อไลแซนเดอร์และเฮอร์เมียหนีตามกันไปในป่า ไลแซนเดอร์ถูกมนต์สะกดให้ตื่นขึ้นมาแล้วก็ตกหลุมรักเฮเลน่าเมื่อแรกเห็น เฮอร์เมียคือ หญิงสาวชาวเอเธนส์ ซึ่งเป็นลูกสาวของอีจัส และเป็นคนรักของไลแซนเดอร์ เฮอร์เมียเป็นเพื่อนสนิทเฮเลนน่าที่โตมาด้วยกัน เนื่องจากความคิดแผลงๆของเหล่าภูติที่ใช้ยาเสน่ห์ของโอเบรอนกับพวกเขาทั้งไลแซนเดอร์ และดิมิเทรียสต่างตกหลุมรักเฮเลน่าทันทีที่เห็น เพราะว่ารูปร่างที่เล็ก ไม่สมส่วน เฮอร์เมียจึงเกิดสงสัยว่าเฮเลน่าใช้รูปร่างที่สูงเพรียวของเธอในการหว่านเสน่ห์ชายหนุ่มเหล่านั้น แต่ในเช้าวันต่อมา ภูติพัคก็แก้มนต์ยาเสน่ห์ และทำให้ไลแซนเดอร์กลับไปรักกับเฮอร์เมียเหมือนเดิม ส่วนดิมิเทรียสคือ ชายหนุ่มอีกคนจากเมืองเอเธนส์ ผู้ซึ่งตกหลุมรักเฮอร์เมียในตอนต้นเรื่อง และต่อมาได้เปลี่ยนใจหลงรักเฮเลน่าอย่างหัวปักหัวปำ ในภายหลังด้วยความดื้อรั้นของเขาที่หมายปองเฮอร์เมีย ทำให้เกิดความอลหม่านในความรักขึ้น ส่วนเฮเลน่าคือหญิงสาวจากเอเธนส์ผู้มอบหัวใจให้ดิมิเทรียส แต่เมื่อเขาเห็นเฮอร์เมีย ดิมิเทรียสก็ตกหลุมรักเฮอร์เมียทันที และเฮลิน่าคิดว่าตัวเองไม่สวย เธอจึงคิดว่าไลแซนเดอร์และดิมิเทรียสแกล้งชื่นชมเธอ เมื่อชายทั้งสองอยู่ใต้มนต์สะกดของภูติที่ทำให้พวกเขาตกหลุมรักเฮเลน่า ส่วน ไททาเนียคือ ราชินีผู้เลอโฉมแห่งดินแดนภูติพราย คนรักของโอเบรอน ดื้อ แสนซน และรักความยุติธรรม และพัค คือ ภูตรับใช้ของโอเบรอน กะล่อน ขี้เล่น และที่สำคัญเป็นตัวต้นเหตุพอๆกับเจ้านายเลยทีเดียว เพราะความแสบของพัค ทำให้รักอลวลบังเกิดขึ้น เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า ความรักที่มีอุปสรรค์คอยขวางกั้น ความรักที่เป็นดั่งความฝัน และความรักที่เป็นดั่งเวทมนต์ ตอนนี้ได้มลายหายไปแล้ว หลงเหลือเพียงความสุขที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก ณ กลางคืนฤดูร้อน หนังเรื่องนี้แสนเศร้า แต่แสดงด้วยความตลกขบขันจบลง ทุกคนก็เข้านอน เหล่าเทพราชาและราชินี และเทพผู้รับใช้จึงออกมาร่วมร้องเพลงอวยพรให้ทุกคนในบ้านพบแต่ความโชคดี
                วันที่ 18 เดือนตุลาคม พ..2558 ถึงวันที่ 19 เดือนตุลาคม พ.. 2558 ดิฉันได้ดูหนังเรื่อง Dark Shadows เหตุผลที่เลือกดูเรื่องนี้ ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะเคยดูแล้วครั้งหนึ่ง และอยากดูอีก ใการฝึกครั้งนี้ คืฝึกฟังทั้งหมด 1 รอบ ฟังแบบไม่มีซับไตเติ้ลทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ  แวมไพร์มึนยุค เกิดขึ้นในปี 1752 โจชัวและนาโอมิคอลลินส์พร้อมกับลูกชาย ชื่อบาร์นาบัสล่องเรือจากลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษเพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา แต่ฟากพื้นมหาสมุทรมิอาจทำให้หลีกหนีจากคำสาปลับที่สาปส่งครอบครัวของพวกเขาไปได้ เวลาผ่านไป 2 ทศวรรษ ทั้งโลกต้องสยบแทบเท้าของ บาร์นาบัส หรืออย่างน้อยก็เมืองในคอลลินสปอร์ต รัฐเมน บาร์บานัสผู้ครองคฤหาสน์คอลลินวู้ดเป็นผู้มั่งคั่งที่ทรงอิทธิพล และมีนิสัยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ จนกระทั่งได้ทำผิดมหันต์ขึ้นเมื่อไปทำร้ายหัวใจของ แองเจลีค บูคาร์ด ผู้เป็นแม่มด เธอสาปให้เขาต้องพบชะตาที่หนักหนาสาหัสกว่าความตาย นั่นคือการสาปให้เขากลายเป็นแวมไพร์และฝังเขาทั้งเป็น  2 ศตวรรษต่อมา บาร์นาบัสถูกปลดพันธนาการจากหลุมขึ้นมาสู่โลกยุค 1972 ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก เขาหวนกลับไปที่คฤหาสน์คอลลินวู้ด และต้องพบว่าคฤหาสน์สุดหรูของเขาเมื่อกาลครั้งหนึ่งกลับเหลือเพียงซากปรักหักพัง สิ่งที่หลงเหลือจากความล่มสลายของตระกูลคอลลินส์เหลืออยู่เพียงน้อยนิด สมาชิกแต่ละคนต้องกุมปริศนาลับของตัวเองเอาไว้ หัวหน้าครอบครัวเอลิซาเบ็ธ คอลลินส์ สต็อดดาร์ด ได้ขอความช่วยเหลือจากนักจิตแพทย์อย่าง คุณหมอจูเลีย ฮอฟฟ์แมน ให้มาช่วยแก้ปัญหาครอบครัวของเธอ ซึ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์นั้นคือน้องที่ไม่เคยมีอะไรดีของ เอลิซาเบ็ธ โรเจอร์ คอลลินส์  ที่มีลูกสาวจอมดื้อ แคโรลิน สต็อดดาร์ด และลูกชายวัย 10 ขวบที่ฉลาดเกินวัย เดวิด คอลลินส์ ความลึกลับนี้ได้ย่างกรายไปถึงผู้ดูแล วิลลี่ ลูมิส พี่เลี้ยงคนใหม่ของเดวิด วิคตอเรีย วินเทอร์ส หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่เต็มไปด้วยความตลกขบขัน เช่น  น้องแคโรลีน ในลุควัยรุ่นสาว heavy metal rock สุดมึน กะลีลาสุดติ่ง แม้แต่ตอนกินข้าว , จิตแพทย์ที่เมาตลอดเวลา , บานาบาสกลัวถนนลาดยาง ไม่รู้จักรถยนต์  ไม่รู้จักทีวี ไม่รู้จักเทคโนลียีอะไรเลย และคำพูดที่สุดเชย , ซีนแม่มดอ้วกใส่บานาบาส, คุณยายแม่บ้านใช้ผ้าเช็ดอ้วกของแม่มดบนหน้าบานาบาส , น้องโคลอี้กลายร่างเป็นมนุษหมาป่า , แม่มดร่างแตกร้าวหัวใจสลายไปกับมือ ร่างของแม่มดแตกเหมือนเซรามิคใยแก้วนำแสง , ไฟไหม้หลังบานาบาส หน้าตาป๋าเด็บ อีกมากมาย
                การเรียนรู้สอนทั้งความรู้ ประสบการณ์ ความคิดต่างๆ ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญา มีความคิดก้าวไกลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเรียนรู้ทางด้านภาษา ถ้าเราไม่เรียนรู้จะไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆได้อย่างเข้าใจ ภาษาที่นับว่าสำคัญในโลกปัจจุบันนี้คือ ภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน จำเป็นมากที่เราต้องฝึกฝนและเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เข้าใจ เพื่อสามารถสนทนา และเข้าใจเจ้าของภาษาและบุคคลต่างๆที่พูดภาษาอังกฤษได้ ดิฉันจึงตัดสินใจฝึกทักษะการฟัง เพราะทักษะการฟังเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญ ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังจากการดูหนังสี่เรื่อง คือ Night at the museum secret of the tomb.   Brave , A Midsummer Night’s Dream และ Dark shadows ได้ฝึกตั้งแต่วันที่ 13 เดือนตุลาคม พ..2558 ถึงวันที่ 19 เดือนตุลาคม พ.. 2558 จากการที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง สามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจแต่ละประโยคได้ พบคำศัพท์ต่างๆมากมายทั้งที่เคยเจอและไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อดิฉันไม่เข้าใจคำศัพท์คำนั้น ดิฉันจะเปิดดิกชันนารีเพื่อดูความหมายของคำศัพท์คำนั้น ทำให้เข้าใจและจดจำคำศัพท์คำนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ดิฉันจะตั้งใจและฝึกฝนภาษาอังกฤษต่อไป เพื่อหวังว่าวันหนึ่งดิฉันสามารถฟังเจ้าของภาษาและบุคคลต่างๆที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจ
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น