วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning Log ในห้องเรียน 22nd September, 2015


Learning   Log ในห้องเรียน
22 nd September, 2015

การเรียนไวยากรณ์เป็นพื้นฐานของการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะไวยากรณ์เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังที่เป็นพื้นฐานช่วยให้ผู้เรียนภาษาต่างประเทศประสบความสำเร็จในการเรียนทั้งฟัง พูด อ่านและเขียน (จินตนา สุจจานันท์ ,2533 ) โดยเฉพาะทักษะการเขียน  ผู้เขียนจะต้องเรียบเรียงประโยคให้เป็นข้อความที่สามารถสื่อสารและทำให้ผู้อ่านเข้าใจในแนวความคิดของผู้เขียน จึงเป็นหนึ่งทักษะที่ยากในการจะเรียนภาษาให้ดี ดังนั้นเราต้องมีความแม่นยำ มีความชำนาญในการใช้ภาษาในบริบท  เราก็จะสามารถ เขียนประโยคได้ การที่เรามีพื้นฐานทางไวยากรณ์ดี ก็จะช่วยให้เรามีความรู้เพื่อไปศึกษาต่อในสาขาวิชาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษได้ ซึ่งไวยากรณ์ที่สำคัญที่เราต้องเรียนรู้ เช่น  เรื่อง conditional sentences หรือที่หลายคนรู้จักในนาม if-clause คือ ประโยคเงื่อนไข

conditional sentences หรือที่หลายคนรู้จักในนาม if-clause คือ ประโยคเงื่อนไข ประกอบด้วยอนุประโยค (ประโยคย่อย) สองประโยค ประโยคหนึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า If กับอีกประโยคหนึ่งมีหน้าตาเหมือนประโยคสมบูรณ์ทั่วไป สังเกตว่า อนุประโยคสองประโยคนี้สลับที่กันได้ จะยกประโยคไหนขึ้นต้นก็ได้ แล้วแต่การเน้นและความหมาย ซึ่งประโยค If Clause นั้น ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1. ส่วน IF CLAUSE และ 2. ส่วน MAIN CLAUSE
 IF CLAUSE          MAIN CLAUSE
  If I work hard     , I will pass the exam.
 If I eat too much  , I get fat.
 If I had a lot of money , I would buy your car.
 If I had studied hard , I would have passed the exam.
 เราสามารถสลับที่ส่วน IF CLAUSE และ ส่วน MAIN CLAUSE ได้
 MAIN CLAUSE           IF CLAUSE
 I wil65rdl pass the exam if I work hard.
 I get fat if I eat too much.
 I would buy your car if I had a lot of money.
 I would have passed the exam if I had studied hard.
 *** สังเกตว่า เวลา เราสลับที่ เอา MAIN CLAUSE มาไว้ข้างหน้า เราจะไม่ใช้ comma ( , )
If clause หรือ Conditional Sentences เราสามารถแทน if ด้วย unless, provided, suppose...?, supposing...?, so long as, as long as ,  even if , on condition that  และ but for ได้ด้วย
1. unless = if...not...
a. If you don’t start at once, you will not be able to finish it in time.
 i. Unless you start at once, you will not be able to finish it in time.
2. provided (that)/ providing that
a. I will go provided that you go.
3. suppose...?, supposing...? = what if...?
a. Suppose the plane is late?
 i. What if the plane is late?
4. so long as, as long as
a. So long as we have a servant, we can sleep late in the morning.
5. even if
a. Even if he had gone, he wouldn’t have enjoyed it.
6. on condition that
a. I will come on condition that John is invited too.
7. but for = if it were not for..., if it hadn’t been for...
a. If I were not for my father, I wouldn’t be here.
 i. But for my father, I wouldn’t be here.
ซึ่ง conditional sentences หรือ if-clause มีทั้งหมดห้าแบบ คือ ZERO conditional sentences  , FIRST conditional sentences , SECOND conditional sentences  THIRD conditional sentences และ MIXED conditional sentences แต่ละแบบจะมีโครงสร้างและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน

1. sero conditional sentences
วิธีใช้: ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริง พูดถึงความจริงทั่วไป โดยใช้ present simple ในอนุประโยคทั้งสองประโยค
โครงสร้างประโยค  If + Present Simple, Present Simple
เช่น If water reaches100 degrees, it boils. เมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเท่ากับ 100 องศาเซลเซียส น้ำจะเดือดเสมอ หรือ If I eat peanuts, I am sick. ถ้าฉันกินถั่วลิสงฉันจะแพ้ ซึ่งประโยคลักษณะนี้ เราจะใช้คำว่า when (เมื่อ) แทน if ก็ได้
ตัวอย่างเพิ่มเติม
-If people eat too much, they get fat. ถ้ากินมากจะอ้วน
-If you touch a fire, you get burned. ถ้าแตะไฟก็จะโดนลวก
-People die if they don’t eat. คนเราจะตายถ้าไม่กินอาหาร
-You get water if you mix hydrogen and oxygen. ถ้ารวมไฮโดรเจนกับอ๊อกซิเจนจะได้น้ำ
-Snakes bite if they are scared. งูจะกัดเวลารู้สึกกลัว
-If babies are hungry, they cry. ทารกจะร้องไห้ถ้ารู้สึกหิว
-If you heat water, it boils. (ถ้าคุณต้มน้ำ น้ำก็เดือด)
-If you get here before seven, we can catch the early train. (ถ้าคุณมาถึงที่นี่ก่อน 7 โมง เราก็สามารถขึ้นรถไฟไปได้เร็ว)
-I can’t drink alcohol if I have to drive. (ฉันไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ถ้าฉันต้องขับรถ)

Zero conditional sentences จะใช้พูดถึงเรื่องจริงทั่วๆไป แต่ conditional sentences แบบต่อไปจะพูดถึงเหตุการณ์เฉพาะ
               
2. first  conditional sentences
วิธีใช้  ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน  พูดถึงเหตุการณ์เฉพาะซึ่งอาจเป็นไปได้ หรือผู้พูดคิดว่าจะเกิดขึ้น
โครงสร้างประโยค    If + Present Simple, Will + V1
เช่น - If it rains, I won’t go to the park. ถ้าฝนตก ฉันจะไม่ไปสวนสาธารณะ
-If I study today, I‘ll go to the party tonight. ถ้าวันนี้ฉันอ่านหนังสือ คืนนี้จะไปปาร์ตี้
-If I have enough money, I‘ll buy some new shoes. ถ้ามีเงินพอ ฉันจะซื้อรองเท้าใหม่
-She‘ll be late if the train is delayed. เธอจะไปสายถ้ารถไฟมาช้า
-She‘ll miss the bus if she doesn’t leave soon. เธอจะไม่ทันรถเมล์ถ้าไม่ออกจากบ้านตอนนี้
-If I see her, I‘ll tell her. ถ้าพบเขาฉันจะบอกเขา
-If I have enough money, I will go to Japan. (ถ้าฉันมีเงิน ฉันจะไปญี่ปุ่น)
 -If he is late, we will have to start the meeting without him. (ถ้าเขามาสาย เราจะต้องเริ่มการประชุมโดยไม่มีเขา)
 -I won’t go outside if the weather is cold. (ฉันจะไม่ออกไปข้างนอกถ้าอากาศมันเย็น)
 -If I have time, I will help you. (ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะช่วยคุณ)
- If you eat too much, you will get fat (ถ้าคุณกินมากเกินไป คุณก็จะอ้วน)
zero conditional กับ first conditional ต่างกันตรงที่ใช้กับสถานการณ์คนละประเภทดังได้กล่าวไปแล้ว ดูตัวอย่างชัดๆอีกที ดังนี้

zero conditional: If you sit in the sun, you get burned. (ใครก็ตามที่) นั่งตากแดดจะผิวไหม้
first conditional: If you sit in the sun, you’ll get burned. ถ้าเธอนั่งตากแดดผิวเธอจะไหม้นะ

3. second conditional sentences
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน หรือ อนาคต
first conditional ใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคาดคะเนว่าจะเกิดขึ้น แต่ Second conditional จะใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น
โครงสร้างประโยค If + Past Simple, would + V1 (would แปลว่า น่าจะ) (Past Simple à V2)
 เช่น
first conditional: If she studies harder, she’ll pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอจะสอบผ่าน (คิดว่าเป็นไปได้)
second conditional: If she studied harder, she would pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอคงสอบผ่าน (แต่ผู้พูดไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือ คิดว่าเธอคงไม่ตั้งใจมากขึ้น และเธอคงสอบไม่ผ่าน)
ประโยคแบบ second conditional นี้ใช้ If + past simple คู่กับ would + infinitive
if + past simple, …would + infinitive
(สังเกต ว่าอนุประโยคที่ต่อหลัง if ถ้าคำกิริยาเป็น verb to be จะใช้ were ได้กับประธานทุกตัว
เช่น  If I were you… ถ้าฉันเป็นเธอแต่จะใช้ was ตรงตามประธานก็ได้ค่ะ)
-If I won the lottery, I would buy a big house. ถ้าถูกล็อตเตอรี่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ (ซึ่งคิดว่าคงไม่ถูกล็อตเตอรี่หรอก)
-If I met the Queen of England, I would say hello. ถ้าได้พบราชินีอังกฤษฉันจะกล่าวสวัสดี
-She would travel all over the world if she were rich. เขาจะเที่ยวรอบโลกถ้ามีเงินมากๆ
-She would pass the exam if she ever studied. เธอคงจะสอบผ่านหรอกถ้าเธอได้เคยอ่านหนังสือบ้าง (ซึ่งจริงๆไม่อ่านเลย)

ใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่จริงเลย เช่น

-If I had his number, I would call him. ถ้ามีเบอร์เขาฉันจะโทรหาเขา (แต่จริงๆฉันไม่มีเบอร์เขา)
-If I were you, I wouldn’t go out with that man. ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไปเที่ยวกับเขา

ประโยค second conditional ต่างกับ first conditional ตรงที่แบบนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก เช่น

second conditional: If I had enough money I would buy a house with twenty bedrooms and a swimming pool. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อบ้านที่มีห้องยี่สิบห้องกับสระว่ายน้ำ (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เป็นแค่ฝัน)

first conditional: If I have enough money, I’ll buy some new shoes. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อรองเท้าใหม่ (มีความเป็นไปได้มากกว่า)
-If I knew her name, I would tell you. (ถ้าฉันรู้ชื่อเธอ ฉันก็น่าจะบอกคุณ) [จริงๆ แล้วไม่รู้จักชื่อเธอ]
-She would be safer if she had a car. (เธอน่าจะปลอดภัยกว่านี้ ถ้าเธอมีรถ) [จริงๆ แล้วเธอไม่มีรถ]

4. third conditional sentences
วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต
โครงสร้างประโยค If + Past perfect, would have + V3 (Past perfect -> had + V3 ประโยคแบบนี้ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร
เช่น
-If she had studied, she would have passed the exam. ถ้าเขาอ่านหนังสือ เขาคงสอบผ่านไปแล้ว (ซึ่งจริงๆผู้พูดรู้ว่าไม่ได้อ่านและสอบตก)
-If I hadn’t eaten so much, I wouldn’t have felt sick. ถ้ากินไม่มากฉันคงไม่ป่วย (แต่จริงๆฉันกินเยอะ จึงป่วย)
-If we had taken a taxi, we wouldn’t have missed the plane. ถ้าเราขึ้นแท็กซี่มาเราคงไม่ตกเครื่องบิน
-She wouldn’t have been tired if she had gone to bed earlier. เธอจะไม่เพลียถ้าเข้านอนเร็วกว่านี้
-She would have become a teacher if she had gone to university. เธอคงจะเป็นครูถ้าเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
-He would have been on time for the interview if he had left the house at nine. เขาคงมาสัมภาษณ์ทันเวลาถ้าออกจากบ้านตอนเก้าโมง
- If you had worked harder, you would have passed your exam.  (ถ้าคุณขยันให้มากกว่านี้ คุณก็น่าจะสอบผ่าน) [จริงๆ แล้วสอบตกไปแล้ว]
-If you had asked me, I would have told you. (ถ้าคุณถามฉัน ฉันก็น่าจะบอกคุณไปแล้ว) [จริงๆ แล้วคุณไม่ได้ถาม]
-I would have been in big trouble if you had not helped me. (ฉันน่าจะมีปัญหาไปแล้ว ถ้าคุณไม่ได้ช่วยฉันไว้) [จริงๆ แล้วคุณช่วยฉันไว้]
-If I had met you before, we would have been together. (ถ้าฉันพบคุณก่อนหน้านี้ เราก็น่าจะได้อยู่ด้วยกันไปแล้ว) [จริงๆ แล้วฉันพบคุณช้าไป]
  If you had worked harder, you would have passed your exam.  (ถ้าคุณขยันให้มากกว่านี้ คุณก็น่าจะสอบผ่าน) [จริงๆ แล้วสอบตกไปแล้ว]
-If you had asked me, I would have told you. (ถ้าคุณถามฉัน ฉันก็น่าจะบอกคุณไปแล้ว) [จริงๆ แล้วคุณไม่ได้ถาม]

5. mixed conditional sentences
นอก จากนั้นยังมีการนำ conditional sentences สองแบบมาผสมกัน โดยมากใช้เวลาพูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นความจริงในอดีตที่มีความสัมพันธ์กับ ปัจจุบัน เช่น
-She would be a rich widow now if she’d married him. เธอคงจะได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐีไปแล้วถ้าเธอแต่งงานกับเขา (ตอนนั้นไม่แต่งกับเขา ตอนนี้เลยไม่ได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐี)
-If I’d studied law, I’d be an attorney now. ถ้าตอนนั้นเรียนนิติตอนนี้ฉันก็คงจะเป็นทนายความแล้ว
                ในประโยค conditional   สามประเภทนี้ ได้แก่ เป็นเงื่อนไขที่มีความเป็นไปได้สูง, เป็นเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้หรือโอกาสเกิดต่ำ   โดยคำนึงถึงช่วงเวลาปัจจุบันและ  เป็นเงื่อนไขที่ตรงข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว  โดยคำนึงถึงเวลาในอดีต
 สามารถใช้กริยาช่วยอื่นมาแทน if   ตามด้วยการสลับที่ระหว่าง กริยาช่วยกับประธาน (inversion between subject and helping verb) โดยการใช้กริยาช่วยมาแทน if  รูปแบบนี้นิยมใช้ในภาษาเขียนซึ่งทำให้เป็นทางการยิ่งขึ้น
Type 1 conditional:  ใช้ should แทนที่ if   ตามด้วย ประธาน   + base infinitive
-  If  I know her arrival time, I will tell you.
= Should I know her arrival time, I will tell you.
Type 2 conditional:  ใช้กริยาช่วย were แทน if ก่อนการสลับที่ประธาน-กริยาช่วย
-  If I were younger, I would wear a swimsuit.
Were I younger, I would wear a swimsuit.
-  If I won the game, I would buy you a new car.
= Were I to win the game, .... ( were + ประธาน + to infinitive)
Type 3 conditional:  ใช้กริยาช่วย had มาแทนที่ if   ก่อนการสลับที่ประธาน-กริยาช่วย
-  If we had had more money, we would buy a new car.
Had we more money, we would buy a new car.



                ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นมากที่ทุกคนต้องเรียนรู้ โดยเฉพาะบุคคลที่จะไปเป็นครูในอนาคต การเรียนรู้เรื่องไวยากรณ์มีหลายหัวข้อ เช่น  If clause หรือ Conditional Sentences   เมื่อเรามีความรู้เรื่องนี้แล้ว เราสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้กับการฟัง พูด อ่าน และโดยเฉพาะการเขียน เพราะการเขียนนั้นเป็นทักษะขั้นสูง ซึงเราต้องมีความรู้ทางด้านไวยากรณ์มากพอสมควร เพื่อสามารถเขียนภาษาอังกฤษได้ดี นอกจากนี้เมื่อเรามีความรู้พื้นฐานทางด้านไวยากรณ์เป็นอย่างดีแล้ว ช่วยให้เราศึกษาต่อในสาขาวิชาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษได้ เมื่อได้ศึกษาและทำความเข้าใจเรื่อง if clause หรือ conditional sentences ทำให้ดิฉันมีความรู้ทางด้านไวยากรณ์เพิ่มมากขึ้น รู้วิธีการใช้ if clause หรือ Conditional แต่ละแบบ และนำความรู้ที่ได้มาฝึกแต่งประโยคเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น