วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

Learning Log (ในชั้นเรียน) 18 th August, 2015


Learning Log (ในชั้นเรียน)
18 th August, 2015
ในการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง หรือให้ได้ดีนั้น ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอย่างดี โดยเฉพาะ structure meaning และ phonology ซึ่งสามอย่างนี้ต้องไปด้วยกัน โดยเฉพาะเนื้อหาต้องแม่น นอกจากนี้โครงสร้างจะต้องแม่น  เราจะผิดบ่อย เพราะโครงสร้างในภาษาอังกฤษจะแตกต่างกับโครงสร้างในภาษาไทย ซึ่งในการแปล โครงสร้างที่แตกต่างกันเป็นปัญหาทำให้เด็กไทยเรียนรู้ยาก เราจำเป็นต้องศึกษาโครงสร้างภาษาอังกฤษให้แม่นยำ เพื่อสามารถแปลความหมายได้ ซึ่งในเรื่องของกาล (Tense) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของภาษาอังกฤษและเป็นปัญหาสำหรับคนไทย เพราะในภาษาไทยเราไม่ต้องกังวลกับการผันคำกริยาตามกาลของประโยค ดังนั้น เมื่อจะใช้ภาษาภาษาอังกฤษ คำถามแรกที่เราจะต้องคิดคือ เรื่องของกาล

การผันคำกริยาตาม Tense นั้นจะเกี่ยวพันไปถึงพจน์ของประธานด้วย เพราะคำกริยาจะผันหรือเปลี่ยนแปลงตามประธานของประโยคหรือคำกริยานั้นๆด้วย ซึ่งเราจะค่อยๆดูกันไปทีละ Tense ในภาษาอังกฤษประกอบด้วย Tense หลักๆ   3 ชนิด คือ
1.             Present Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2.             Future Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต
3.             Past Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
1.Present Tense
1.1  Present   Simple Tense
1.2   Present   Continuous Tense
1.3  Present Perfect  Tense
1.4  Present  Perfect   Continuous  Tense
2. Future Tense
2.1 Future  Simple Tense
2.2 Future Continuous   Tense
2.3 Future Perfect Tense
2.4 Future   Perfect Continuous  Tense
3. Past Tense
3.1 Past Simple Tense
3.2 Past  Continuous  Tense
3.3 Past  Perfect Tense
3.4 Past  Perfect Continuous  Tense
รวมทั้งหมดเป็น 12 Tenses   พอดี   แต่ในความเป็นจริงแล้วเราจะใช้กันอยู่เพียงไม่กี่ Tense เท่านั้น ที่เหลือก็จะใช้ในกรณีเฉพาะเจาะจงเท่านั้น บาง Tense ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย เมื่อเราได้ทราบความหมายของ Tense หลักๆ ทั้ง 3 Tense แล้ว ตอนนี้ก็ลองมาดูความหมายชนิดย่อยของ Tense และรูปแบบการใช้
คำว่า Simple แปลว่า ปกติ ธรรมดาๆ เพราะฉะนั้น Present Simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น ปกติ ธรรมดาๆ ในปัจจุบัน Past Simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น ปกติ ธรรมดาๆ ในอดีต   และในทำนองเดียวกัน Future simple   ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ธรรมดาๆในอนาคต
คำว่า Continuous   แปลว่า กำลังดำเนินไป ไม่สิ้นสุด   เพราะฉะนั้น Present continuous ย่อมต้องใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่กำลังดำเนินไป และยังไม่สิ้นสุด ในทำนองเดียวกัน Past Continuous ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด   และในทำนองเดียวกัน Future Continuous ก็จะไม่แตกต่าง เพราะจะใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด ณ. ช่วงเวลานั้นๆในอนาคต
คำว่า Perfect แปลว่า เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้น Present   Perfect จะเป็น Tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันที่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว ในส่วน Past Perfect ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว   และในทำนองเดียวกัน Future Continuous จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เสร็จสมบูรณ์ ณ. ช่วงเวลานั้นๆในอนาคต
คำว่า Perfect Continuous แปลว่า เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ดังนั้น Present   Perfect Continuous Tense ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Past Perfect Continuous ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ณ.เวลานั้นๆในอดีต    และในทำนองเดียวกัน Future Perfect Continuous จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆณ.เวลานั้นๆในอนาคต
รูปแบบของ Tense ต่างๆ ดังนี้

Tense
Structure
Present Simple
s. + v.1

Present Continuous
s. + is , am , are + v. ing

Present Perfect
s. + has , have + v.3

Present Perfect Continuous
s. + has, have + been + v.ing

Past Simple
s. + v.2

Past Continuous
s. + was, were + v. ing

Past Perfect
s. + had + v.3

Past Perfect Continuous
s. + had + been + v.ing

Future Simple
s. + will/shall + v.inf

Future Continuous
s. + will/shall + be + v.ing

Future Perfect
s. + will/shall + have + v. 3

Future Perfect Continuous
s. + will/shall + have been + v.ing


Present Simple Tense
Form =   s. + v.1
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์
Example
1. The earth moves round the sun.
2. Fish swims in the water.
3. Fire is hot.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
Example
She gets up early every day.
Dr.  Oak   always comes to P’ Nan house twice a week.
Thai people give respect to the old.
Note : Adverb of Frequency ต่อไปนี้มักจะใช้กับ present simple tense often, always, sometimes, usually, generally, rarely, seldom, scarcely, hardly, never, now and  again, from time to time, occasionally, as a rule, once a week, every other day, every night/day/week
3.ใช้พูดถึงเรื่องจริงในปัจจุบัน หรือเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่อง เช่น demonstrations, commentariesหรือเป็น informal narrative
Example
In Act 1, Hamlet meets the ghost of his father.
4.อาจใช้พูดถึง past ได้ในกรณี ทำให้เหตุการณ์นั้นดูสดใหม่
Example
Christopher Columbus discovers “the New World”
5. โดยปกติแผนเตรียมการต่างๆที่จะกระทำในอนาคตอันใกล้ ให้ใช้ Present Simple แทน Future Simple ได้
Example
They start on their trip tomorrow.
I leave by the 2.30 train afternoon.
ข้อสังเกต
1.สำหรับประโยคบอกเล่า (Positive) ปกติจะไม่ใช้กริยาช่วย นอกจากต้องการเน้น เช่น
I do love you.
2.สำหรับประธารเอกพจน์   บุรุษที่ 3 he, she, it เติม s, es ที่กริยาหลัก
3. สำหรับ verb to be ที่กริยาหลัก ปกติจะไม่มีกริยาช่วย แม้ในประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถาม เช่น
 She is cute.        She doesn’t be cute. (F )        She isn’t cute  (T)


Present Continuous   Tense
Form = s. +   is, am, are  +    v.ing
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์ around now อาจเป็นเหตุการณ์ระยะยาวที่ไม่ได้กระทำอยู่ขณะที่พูดก็ใช้ได้เหมือนกัน
Example
We are studying English at Present.
The dog is running towards here.
She is knitting a pullover for her son.
Note: ถ้าเจอ adverb of time ต่อไปนี้มักจะเป็น Present Continuous
now , at the moment, today, at present ,still, for the time being, right now, currently, at the present time
2.คำกริยาบางตัว Simple Verb   เราจะไม่ใช้รูป   Present Continuous แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันก็ตาม เช่น verb to be    I am late now.  กริยาเหล่านี้แบ่งออกเป็น 6 ชนิดย่อยๆ คือ
2.1 Verb of   Perception ได้แก่ กริยา see, hear, smell, notice, observe, taste
Example
I see that it is raining again.
2.2กริยาที่แสดงความนึกคิด เช่น know, understand, think, believe, disbelieve,
Example
He   knows as much about the lesson as you do.
I believe what he is saying is true.
2.3 กริยาที่แสดงความชอบและไม่ชอบ เช่น like, dislike, love, hate, prefer, forgive, trust, distrust
Example
I like the movie I saw yesterday.
2.4 กริยาที่แสดงความปรารถนา เช่น wish, want, desire
Example
She wants to go the Italy.
2.5กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น possess, have,   own,  belong to
Example
This bicycle belongs to me brother.
2.6 กริยาเฉพาะบางคำ (ข้อยกเว้น) ส่วนใหญ่เป็นกริยาแสดงสภาพ เช่น be, appear, seem, mean, please, displease, differ, depend, resemble, deserve, refuse, result, suffice, consist of , contain, hold, fit, suit
Example
He resembles his father.
3. ใช้กับอนาคตที่ตัดสินใจแล้ว
Example
What are you doing tomorrow   ?  I am seeing Tim
You are leaving for the airport at 8 a.m.
4. Describe change ใช้กับ อธิบายการเปลี่ยนแปลง (มักใช้ขั้นกว่า)
Example
The Climate is getting warmer.
5. Background เหตุการณ์ก่อน
Example
P’ Tingly is working on this work when P’ Nus arrives.
Jack is walking through the jungle when he meets a gorilla.
6. Commentaries เช่น เวลาพากย์กีฬา
-Simple Tense ใช้กับ quicker actions
-Continuous Tense ใช้กับ longer actions
เช่น Simple Tense ใช้กับ football, continuousใช้กับ boat race
Example
Oxford is drawing slightly ahead of Cambridge now it is rowing with a beautiful rhythm: Cambridge is looking a little disorganized.
หมายเหตุ
1.ปกติถ้าเราพูด I always do something   หมายถึง การกระทำอย่างนั้นทุกครั้ง แต่ถ้า ใช้
I am always doing something หมายถึง เป็นการกระทำบ่อยๆแต่ไม่ใช่ทุกครั้ง
Example
I’ve lost my again. I ‘m always losing  thing.
You’re always watching television. You should do something more active.
2.  Simple Verb ทำเป็น Continuous ไม่ได้หรือบางตัว ถ้าทำได้ก็จะมีความหมายที่ต่างออกไป
1. Think = ไตร่ตรอง ตัดสินใจ
I’m thinking about buying a new car.
Think = แสดงความคิดเห็น, คิดว่า
I think I will go swimming after lunch.
See = ไปพบ , พบกัน
We are seeing friends at weekends.
See = เห็น
I see children playing in the yard.
Hear = ได้ข่าว, ทราบว่า
He is hearing the orchestra play at BITEC.
Hear = ได้ยิน
I hear someone calling my name.  etc.
สรุป Present Continuous Tense
1.Around now
2.Describe change
3.Future
4.Background
5.Simple V.

Present   Perfect Tense
Form   S. +  has, have  +  v.3
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 เกิดขึ้นและจบลงในอดีต แต่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน
Example
The president has been shot.
1.2 เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มักมี since หรือ for
Since  ตั้งแต่  ใช้กับจุดเวลา เช่น since  then, since yesterday, since Christmas.
Example
We have lived in this house since our father died.
For  เป็นเวลา ใช้กับ จำนวนเวลา นับตั้งแต่เหตุการณ์จนถึงขณะพูด เช่น for twenty minutes, for ages, for the last month, for the last two years.
Example
Billy hasn’t written to me for three days.
So far / Up to now / Up to the present time
Example
Up to now we have had no news from John.
2.ประสบการณ์
มักมี adverb  Of time ต่อไปนี้
Never ไม่เคย ใช้เป็น ประโยคปฏิเสธ
Example
I’ ve   never been  there.
Ever = เคยไหม ใช้กับ ประโยคคำถาม
Example
Have you ever been to the UK ?
Many time, several time, over and over, again and again.
Example
He has made the same mistake again and again.
3.เพ่งจะจบ
มักมี adverb of time ต่อไปนี้
Already and Yet
Aready (เรียบร้อยแล้ว) ใช้กับ ประโยคบอกเล่า
Example
Yes, he has already come back.
Yet (ยัง) ใช้กับประโยคคำถามกับปฏิเสธ
Example
We have not yet read  that book.
Has he come back yet ? (Question)
No, he has not back yet. (Neg. Ans.)
Lately/Recently = เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเร็วๆนี้
Example
My friend has recently got married.
Just = เพ่งจะ
Example
P’ Nan has just arrived the   Enconcept.
สรุป
1.เพ่งจะจบ
2.ยังไม่จบ
3. ประสบการณ์
ข้อควรระวัง
Yet ใช้ในประโยคคำถาม ปฏิเสธ
Already ใช้ในประโยค บอกเล่า
Lately ใช้ในประโยค คำถาม ปฏิเสธ
ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าจะใช้ recently
Ever ใช้ในประโยคคำถาม
ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าจะใช้ used  to + v. inf.
Present Perfect Continuous
Form   s. + has,have + been + v.ing
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ต่างกับ present perfect ตรงที่ เน้นความต่อเนื่องของเวลา+ บอกว่าจะเกิดขึ้น
Example
It has been raining.
She has been working in that hotel for the last two years.
1.2 ใช้กับเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว ยังทิ้งร่องรอยอยู่
The workmen have been digging up the road and now the traffic cannot pass.
What have you been eating ? You lips and chin are purple.
หมายเหตุ V. ที่แสดงความต่อเนื่อง +  stative  v. จะใช้ present perfect continuous ไม่ได้ ให้ใช้ present perfect simple แทน
Example
The train has arrived.
I’ve wanted to visit China for years.
แอบรู้ สำหรับ  v. ที่แสดง long action ใช้ได้ทั้งสองตัวโดยไม่มีความแตกต่างเลย เช่น live
Example
How long have you lived in Oxford ?
How long have you been living in Oxford ?

 Present Perfect Continuous
Form   s. + has,have + been + v.ing
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ต่างกับ present perfect ตรงที่ เน้นความต่อเนื่องของเวลา+ บอกว่าจะเกิดขึ้น
Example
It has been raining.
She has been working in that hotel for the last two years.
1.2 ใช้กับเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว ยังทิ้งร่องรอยอยู่
The workmen have been digging up the road and now the traffic cannot pass.
What have you been eating ? You lips and chin are purple.
หมายเหตุ V. ที่แสดงความต่อเนื่อง +  stative  v. จะใช้ present perfect continuous ไม่ได้ ให้ใช้ present perfect simple แทน
Example
The train has arrived.
I’ve wanted to visit China for years.
แอบรู้ สำหรับ  v. ที่แสดง long action ใช้ได้ทั้งสองตัวโดยไม่มีความแตกต่างเลย เช่น live
Example
How long have you lived in Oxford ?
How long have you been living in Oxford?
Past Simple Tense
Form s. + v.2
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงในอนาคต
1.1 แสดงถึงการกระทำอันเป็นนิสัยที่ปัจจุบันเลิกปฏิบัติไปแล้ว    ใช้ Used to + v. inf. แทน v.2 ก็ได้
Example
Mr. Smith taught in Japan. ( But now he teaches in Thailand.)\
Mr. Smith used to teach in Japan.
Did your father smoke when he was young ?
1.2มักใช้กับ adverb of time ต่อไปนี้
yesterday, last night, at that time, formerly, in  the past, just now, ago, the day before yesterday,once,
Example
She fell asleep a few minutes ago.
Did   P’ Nan   go to your birthday party last night?
หมายเหตุ ประโยคที่มีคำว่า always, sometimes, often, usually, every day, etc.
อาจจะเป็น present หรือ past  ก็ได้ ถ้าเป็น past  จะบอกเวลาในอดีตกำกับ
Example
We usually learned English six hours a week when we were in M.3.
She went to school every day last week.
2.ใช้กับการบอกเล่าเรื่องราวในอดีตตามลำดับเหตุการณ์
Example
This morning I got up at six o’clock  , took a bath, had breakfast, and went to work.
Past Continuous Tense
Form    s.+  was, were + v.ing
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์อดีตที่ระบุเวลาชัดเจน
Example
He was having breakfast at eight o’clock yesterday.
I was reading a book at this time yesterday.
Example
While they  were  playing theirnew records, I was reading my new book.
The students were thinking about  their lunch while P’Ant was explaining new words.
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ใช้ Past Continuous   ส่วนเหตุการณ์สั้นๆที่เข้ามาแทรกใช้ Past Simple
Example
He   saw an accident while he was walking he was walking along the street.
He was sleeping when the   robbers come in.

Past   Perfect Tense
Form = s. + had + v.3
Usage
1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แรกจบลง และมักเชื่อมด้วยคำว่า when, before, after, until, as soon as, by the time
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้  Past Perfect
เหตุการณ์ที่เกิดหลัง ใช้  Past Simple
Example
The  bus had left before I arrived.
By the time the doctor came, the poor  man  had died.
Past Perfect Continuous
Form = s. + had +been +v.ing
Usage
1. ใช้เหมือนกับ Past perfect นั่นเอง แต่ต่างกับ Past  Perfect ตรงที่
1. ใช้กับ temporary action แต่ถ้าเป็น   longer – lasting action จะใช้ past perfect  เช่น
My legs were stiff because I   had been standing still for a long time.
1.             เน้น continuous of an activity
Example
When I got to the class, Aum had been speaking for twenty minutes.
She had been living in  Phrae for  ten years before she moved to Lampang.
หมายเหตุ
1.กริยาบางตัวเท่านั้นที่ใช้รูป Perfect Continuous ได้ เช่น wait, work, lie, sleep, go, play,talk,sit, etc… ซึ่งเป็นกริยาที่แสดง long action
2.อาจใช้แสดงการกระทำที่เป็นอดีต แต่ปรากฏผลให้เห็นในเวลาต่อมา
Example
Mary was dark because she had been sunbathing.
I was tired because I had driving all day.
สรุป Tense คู่
1.Past Cont. VS  Past Cont. ใช้เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต
2. Past Cont. VS Past Simple
เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ก่อนแล้วใช้ Past Continuous
เหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกใช้ Past Simple
1. Past Perfect VS Past Simple
เหตุการณ์เกิดก่อนใช้    Past   Perfect
เหตุการณ์เกิดหลังใช้    Past     Simple
 Tense นี้มีวิธีใช้เหมือนกัน Future Perfect ต่างกันตรงที่ว่า Future Perfect Continuous เน้นความต่อเนื่องของเวลาและบ่งว่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต
Example
By dinner time I shall have been working for eight hours.
It will have been raining for one hour if it doesn’t stop by four o’clock.
เปรียบเทียบ Future Perfect กับ Future Perfect Continuous
In will finish this book in January next year, when I will have written this book for eight month.

การใช้ Future Perfect Continuous Tense ในประโยคปฏิเสธตัวอย่างWe will not (won’t) have been playing football. ( พวกเราไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ )I will not (won’t) have been waiting for you for a hour when you arrive. (ฉันไม่ได้กำลังรอคุณมาชั่วโมง เมื่อคุณมาถึง)Tips : เราอาจจะงงเกี่ยวกับการเลือกใช้ระหว่าง Future Perfect Continuous Tense กับ Future Perfect Tense ลองดูการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง 2 Tense นี้กันI will have been eating the snacks for 2 hours. (Future Perfect Continuous   Tense : ฉันกินขนม (ต่อเนื่อง) มาแล้ว 2ชั่วโมง (จะสื่อว่า หลังจากนี้ก็ยังคงดำเนิน(กินขนม)ต่อไป))I will have eaten the snacks. (Future Perfect Tense : ฉันกินขนมไปแล้ว (สนใจผลลัพธ์ คือบอกว่ากินไปแล้ว))ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เก่งไม่ใช่เรื่องยากเลย เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ structure, meaning และ phonology ซึ่งสามอย่างนี้เราต้องฝึกฝนให้แม่นยำ ในเรื่อง structure คนไทยจะผิดบ่อยมาก เพราะในภาษาไทยจะแตกต่างกับภาษาอังกฤษ ทำให้คนไทยเกิดความมึนงง ทั้งนี้เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษอย่างดีแล้ว  ทำให้เราสามารถแปลความหมายได้จากเข้าใจ  ซึ่งในเรื่องของกาล Tense นี้เป็นหัวใจหลักของไวยากรณ์ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้เพื่อสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี 






































     




























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น