Learning Log (ในชั้นเรียน)
18 th August, 2015
ในการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
หรือให้ได้ดีนั้น ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอย่างดี โดยเฉพาะ structure meaning และ phonology ซึ่งสามอย่างนี้ต้องไปด้วยกัน
โดยเฉพาะเนื้อหาต้องแม่น นอกจากนี้โครงสร้างจะต้องแม่น เราจะผิดบ่อย
เพราะโครงสร้างในภาษาอังกฤษจะแตกต่างกับโครงสร้างในภาษาไทย ซึ่งในการแปล
โครงสร้างที่แตกต่างกันเป็นปัญหาทำให้เด็กไทยเรียนรู้ยาก
เราจำเป็นต้องศึกษาโครงสร้างภาษาอังกฤษให้แม่นยำ เพื่อสามารถแปลความหมายได้
ซึ่งในเรื่องของกาล (Tense)
ซึ่งเป็นหัวใจหลักของภาษาอังกฤษและเป็นปัญหาสำหรับคนไทย
เพราะในภาษาไทยเราไม่ต้องกังวลกับการผันคำกริยาตามกาลของประโยค ดังนั้น
เมื่อจะใช้ภาษาภาษาอังกฤษ คำถามแรกที่เราจะต้องคิดคือ เรื่องของกาล
การผันคำกริยาตาม
Tense นั้นจะเกี่ยวพันไปถึงพจน์ของประธานด้วย
เพราะคำกริยาจะผันหรือเปลี่ยนแปลงตามประธานของประโยคหรือคำกริยานั้นๆด้วย
ซึ่งเราจะค่อยๆดูกันไปทีละ Tense ในภาษาอังกฤษประกอบด้วย Tense
หลักๆ 3 ชนิด คือ
1.
Present Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2.
Future Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต
3.
Past Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
1.Present Tense
1.1 Present Simple Tense
1.2 Present Continuous Tense
1.3 Present Perfect Tense
1.4 Present Perfect
Continuous Tense
2. Future Tense
2.1 Future Simple Tense
2.2 Future Continuous Tense
2.3 Future Perfect Tense
2.4 Future Perfect Continuous Tense
3. Past Tense
3.1 Past Simple Tense
3.2 Past Continuous Tense
3.3 Past Perfect Tense
3.4 Past Perfect
Continuous Tense
รวมทั้งหมดเป็น 12 Tenses พอดี
แต่ในความเป็นจริงแล้วเราจะใช้กันอยู่เพียงไม่กี่ Tense เท่านั้น ที่เหลือก็จะใช้ในกรณีเฉพาะเจาะจงเท่านั้น บาง Tense ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย เมื่อเราได้ทราบความหมายของ Tense หลักๆ ทั้ง 3 Tense แล้ว
ตอนนี้ก็ลองมาดูความหมายชนิดย่อยของ Tense และรูปแบบการใช้
คำว่า Simple
แปลว่า ปกติ ธรรมดาๆ เพราะฉะนั้น Present Simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น ปกติ ธรรมดาๆ
ในปัจจุบัน Past Simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น
ปกติ ธรรมดาๆ ในอดีต และในทำนองเดียวกัน Future
simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
ธรรมดาๆในอนาคต
คำว่า Continuous แปลว่า กำลังดำเนินไป ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น Present continuous ย่อมต้องใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่กำลังดำเนินไป และยังไม่สิ้นสุด
ในทำนองเดียวกัน Past Continuous ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด และในทำนองเดียวกัน Future Continuous ก็จะไม่แตกต่าง เพราะจะใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด
ณ. ช่วงเวลานั้นๆในอนาคต
คำว่า Perfect
แปลว่า เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้น Present Perfect จะเป็น Tense
ที่ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันที่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว ในส่วน
Past Perfect ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว และในทำนองเดียวกัน Future Continuous จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เสร็จสมบูรณ์ ณ. ช่วงเวลานั้นๆในอนาคต
คำว่า Perfect Continuous แปลว่า
เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ดังนั้น Present Perfect Continuous Tense ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับ Past Perfect Continuous ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
ณ.เวลานั้นๆในอดีต
และในทำนองเดียวกัน Future Perfect Continuous จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆณ.เวลานั้นๆในอนาคต
รูปแบบของ Tense ต่างๆ ดังนี้
Tense
Structure
Present Simple
s. + v.1
Present Continuous
s. + is , am , are + v. ing
Present Perfect
s. + has , have + v.3
Present Perfect Continuous
s. + has, have + been + v.ing
Past Simple
s. + v.2
Past Continuous
s. + was, were + v. ing
Past Perfect
s. + had + v.3
Past Perfect Continuous
s. + had + been + v.ing
Future Simple
s. + will/shall + v.inf
Future Continuous
s. + will/shall + be + v.ing
Future Perfect
s. + will/shall + have + v. 3
Future Perfect Continuous
s. + will/shall + have been + v.ing
Present Simple Tense
Form =
s. + v.1
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์
Example
1. The earth moves round the sun.
2. Fish swims in the water.
3. Fire is hot.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
Example
She gets up early every day.
Dr. Oak always comes
to P’ Nan house twice a week.
Thai people give respect to the old.
Note : Adverb of Frequency ต่อไปนี้มักจะใช้กับ present
simple tense often, always, sometimes, usually, generally, rarely, seldom,
scarcely, hardly, never, now and again,
from time to time, occasionally, as a rule, once a week, every other day, every
night/day/week
3.ใช้พูดถึงเรื่องจริงในปัจจุบัน
หรือเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่อง เช่น demonstrations, commentariesหรือเป็น informal narrative
Example
In Act 1, Hamlet meets
the ghost of his father.
4.อาจใช้พูดถึง past ได้ในกรณี
ทำให้เหตุการณ์นั้นดูสดใหม่
Example
Christopher Columbus discovers “the
New World”
5. โดยปกติแผนเตรียมการต่างๆที่จะกระทำในอนาคตอันใกล้
ให้ใช้ Present Simple แทน Future Simple ได้
Example
They start on their trip tomorrow.
I leave by the 2.30 train afternoon.
ข้อสังเกต
1.สำหรับประโยคบอกเล่า (Positive) ปกติจะไม่ใช้กริยาช่วย นอกจากต้องการเน้น เช่น
I do love you.
2.สำหรับประธารเอกพจน์
บุรุษที่ 3 he, she, it เติม s, es ที่กริยาหลัก
3. สำหรับ verb to be ที่กริยาหลัก
ปกติจะไม่มีกริยาช่วย แม้ในประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถาม เช่น
She is cute. She doesn’t be cute. (F ) She isn’t cute (T)
Present Continuous Tense
Form = s. + is,
am, are + v.ing
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์ around
now อาจเป็นเหตุการณ์ระยะยาวที่ไม่ได้กระทำอยู่ขณะที่พูดก็ใช้ได้เหมือนกัน
Example
We are studying English at Present.
The dog is running towards here.
She is knitting a pullover for her
son.
Note: ถ้าเจอ adverb of time ต่อไปนี้มักจะเป็น
Present Continuous
now , at the moment, today, at
present ,still, for the time being, right now, currently, at the present time
2.คำกริยาบางตัว Simple Verb เราจะไม่ใช้รูป Present Continuous แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันก็ตาม
เช่น verb to be I am late now. กริยาเหล่านี้แบ่งออกเป็น 6
ชนิดย่อยๆ คือ
2.1 Verb
of Perception ได้แก่
กริยา see, hear, smell, notice, observe, taste
Example
I see that
it is raining again.
2.2กริยาที่แสดงความนึกคิด เช่น know, understand, think, believe,
disbelieve,
Example
He knows as much about the lesson as you
do.
I believe
what he is saying is true.
2.3 กริยาที่แสดงความชอบและไม่ชอบ เช่น like, dislike, love, hate,
prefer, forgive, trust, distrust
Example
I like
the movie I saw yesterday.
2.4 กริยาที่แสดงความปรารถนา เช่น wish, want, desire
Example
She wants
to go the Italy.
2.5กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น possess, have, own, belong to
Example
This bicycle belongs to me brother.
2.6 กริยาเฉพาะบางคำ (ข้อยกเว้น) ส่วนใหญ่เป็นกริยาแสดงสภาพ
เช่น be, appear, seem, mean, please, displease, differ, depend,
resemble, deserve, refuse, result, suffice, consist of , contain, hold, fit,
suit
Example
He resembles
his father.
3. ใช้กับอนาคตที่ตัดสินใจแล้ว
Example
What are you
doing tomorrow ? I am seeing
Tim
You are
leaving for the airport at 8 a.m.
4. Describe
change ใช้กับ อธิบายการเปลี่ยนแปลง (มักใช้ขั้นกว่า)
Example
The Climate is
getting warmer.
5. Background เหตุการณ์ก่อน
Example
P’ Tingly is
working on this work when P’ Nus arrives.
Jack is walking
through the jungle when he meets a gorilla.
6. Commentaries
เช่น เวลาพากย์กีฬา
-Simple Tense ใช้กับ quicker
actions
-Continuous Tense ใช้กับ
longer actions
เช่น Simple
Tense ใช้กับ football, continuousใช้กับ boat
race
Example
Oxford is
drawing slightly ahead of Cambridge now it is rowing with a beautiful rhythm:
Cambridge is looking a little disorganized.
หมายเหตุ
1.ปกติถ้าเราพูด I
always do something หมายถึง การกระทำอย่างนั้นทุกครั้ง แต่ถ้า ใช้
I am always doing something หมายถึง เป็นการกระทำบ่อยๆแต่ไม่ใช่ทุกครั้ง
Example
I’ve lost my again. I ‘m always losing
thing.
You’re
always watching television. You should do something
more active.
2. Simple Verb ทำเป็น Continuous
ไม่ได้หรือบางตัว ถ้าทำได้ก็จะมีความหมายที่ต่างออกไป
1. Think = ไตร่ตรอง
ตัดสินใจ
I’m thinking about buying a new car.
Think = แสดงความคิดเห็น,
คิดว่า
I think I will go swimming after lunch.
See = ไปพบ , พบกัน
We are seeing friends at weekends.
See = เห็น
I see children playing in the yard.
Hear = ได้ข่าว, ทราบว่า
He is hearing the orchestra play at BITEC.
Hear = ได้ยิน
I hear someone calling my name. etc.
สรุป Present Continuous Tense
1.Around now
2.Describe change
3.Future
4.Background
5.Simple V.
Present Perfect Tense
Form S. + has, have + v.3
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 เกิดขึ้นและจบลงในอดีต
แต่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน
Example
The president has been shot.
1.2 เกิดขึ้นในอดีต
และดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มักมี since หรือ for
Since ตั้งแต่
ใช้กับจุดเวลา เช่น since
then, since yesterday, since Christmas.
Example
We have lived
in this house since our father died.
For เป็นเวลา ใช้กับ
จำนวนเวลา นับตั้งแต่เหตุการณ์จนถึงขณะพูด เช่น for
twenty minutes, for ages, for the last month, for the last two years.
Example
Billy hasn’t
written to me for three days.
So far / Up to now / Up
to the present time
Example
Up to now we have had no news from John.
2.ประสบการณ์
มักมี adverb
Of time ต่อไปนี้
Never ไม่เคย ใช้เป็น
ประโยคปฏิเสธ
Example
I’ ve never
been there.
Ever = เคยไหม ใช้กับ ประโยคคำถาม
Example
Have you ever been to the UK ?
Many time, several time,
over and over, again and again.
Example
He has made
the same mistake again and again.
3.เพ่งจะจบ
มักมี adverb
of time ต่อไปนี้
Already and Yet
Aready (เรียบร้อยแล้ว)
ใช้กับ ประโยคบอกเล่า
Example
Yes, he has
already come back.
Yet (ยัง)
ใช้กับประโยคคำถามกับปฏิเสธ
Example
We have not
yet read that book.
Has he come back yet ? (Question)
No, he has
not back yet. (Neg. Ans.)
Lately/Recently = เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเร็วๆนี้
Example
My friend has
recently got married.
Just = เพ่งจะ
Example
P’ Nan has
just arrived the Enconcept.
สรุป
1.เพ่งจะจบ
2.ยังไม่จบ
3. ประสบการณ์
ข้อควรระวัง
Yet ใช้ในประโยคคำถาม
ปฏิเสธ
Already ใช้ในประโยค
บอกเล่า
Lately ใช้ในประโยค
คำถาม ปฏิเสธ
ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าจะใช้ recently
Ever ใช้ในประโยคคำถาม
ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าจะใช้ used to + v. inf.
Present Perfect Continuous
Form s. + has,have + been + v.ing
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ต่างกับ present perfect ตรงที่ เน้นความต่อเนื่องของเวลา+ บอกว่าจะเกิดขึ้น
Example
It has been raining.
She has been working in that hotel
for the last two years.
1.2 ใช้กับเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว
ยังทิ้งร่องรอยอยู่
The workmen have been digging up the
road and now the traffic cannot pass.
What have you been eating ? You lips
and chin are purple.
หมายเหตุ V. ที่แสดงความต่อเนื่อง + stative
v. จะใช้ present perfect continuous ไม่ได้
ให้ใช้ present perfect simple แทน
Example
The train has arrived.
I’ve wanted to visit China for
years.
แอบรู้ สำหรับ v. ที่แสดง long action ใช้ได้ทั้งสองตัวโดยไม่มีความแตกต่างเลย
เช่น live
Example
How long have you lived in Oxford ?
How long have you been living in
Oxford ?
Present
Perfect Continuous
Form s. + has,have + been +
v.ing
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ต่างกับ present perfect ตรงที่ เน้นความต่อเนื่องของเวลา+ บอกว่าจะเกิดขึ้น
Example
It has been
raining.
She has been
working in that hotel for the last two years.
1.2 ใช้กับเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว ยังทิ้งร่องรอยอยู่
The workmen have
been digging up the road and now the traffic cannot pass.
What have you
been eating ? You lips and chin are purple.
หมายเหตุ V. ที่แสดงความต่อเนื่อง + stative
v. จะใช้ present perfect continuous ไม่ได้
ให้ใช้ present perfect simple แทน
Example
The train has
arrived.
I’ve wanted to
visit China for years.
แอบรู้ สำหรับ v. ที่แสดง long action ใช้ได้ทั้งสองตัวโดยไม่มีความแตกต่างเลย
เช่น live
Example
How long have
you lived in Oxford ?
How long have
you been living in Oxford?
Past
Simple Tense
Form s. + v.2
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงในอนาคต
1.1
แสดงถึงการกระทำอันเป็นนิสัยที่ปัจจุบันเลิกปฏิบัติไปแล้ว ใช้ Used to + v. inf. แทน
v.2 ก็ได้
Example
Mr. Smith taught
in Japan. ( But now he teaches in Thailand.)\
Mr. Smith used
to teach in Japan.
Did your father smoke when he was young
?
1.2มักใช้กับ adverb of time ต่อไปนี้
yesterday, last night, at that time,
formerly, in the
past, just now, ago, the day before yesterday,once,
Example
She fell asleep
a few minutes ago.
Did P’ Nan go to your
birthday party last night?
หมายเหตุ
ประโยคที่มีคำว่า always, sometimes, often, usually,
every day, etc.
อาจจะเป็น present หรือ past ก็ได้ ถ้าเป็น past จะบอกเวลาในอดีตกำกับ
Example
We usually learned
English six hours a week when we were in M.3.
She went
to school every day last week.
2.ใช้กับการบอกเล่าเรื่องราวในอดีตตามลำดับเหตุการณ์
Example
This morning I got up at six o’clock
, took a bath, had
breakfast, and went to work.
Past
Continuous Tense
Form s.+ was,
were + v.ing
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์อดีตที่ระบุเวลาชัดเจน
Example
He was
having breakfast at eight o’clock yesterday.
I was
reading a book at this time yesterday.
Example
While they were playing theirnew records, I was
reading my new book.
The students were thinking about their
lunch while P’Ant was explaining new words.
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ใช้ Past Continuous ส่วนเหตุการณ์สั้นๆที่เข้ามาแทรกใช้ Past
Simple
Example
He
saw an accident while he was walking he was walking along the street.
He was
sleeping when the robbers come in.
Past Perfect
Tense
Form = s. + had + v.3
Usage
1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งเหตุการณ์อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แรกจบลง และมักเชื่อมด้วยคำว่า when,
before, after, until, as soon as, by the time
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้
Past Perfect
เหตุการณ์ที่เกิดหลัง
ใช้ Past Simple
Example
The
bus had left before I arrived.
By the time the doctor came, the
poor man
had died.
Past
Perfect Continuous
Form = s. + had +been +v.ing
Usage
1. ใช้เหมือนกับ Past perfect นั่นเอง แต่ต่างกับ Past Perfect ตรงที่
1. ใช้กับ temporary
action แต่ถ้าเป็น longer
– lasting action จะใช้ past perfect เช่น
My legs were stiff because I had been standing
still for a long time.
1.
เน้น continuous of an activity
Example
When I got to the class, Aum had been speaking for
twenty minutes.
She had been
living in Phrae for ten years before she moved to Lampang.
หมายเหตุ
1.กริยาบางตัวเท่านั้นที่ใช้รูป Perfect
Continuous ได้ เช่น wait, work, lie, sleep, go,
play,talk,sit, etc… ซึ่งเป็นกริยาที่แสดง long action
2.อาจใช้แสดงการกระทำที่เป็นอดีต
แต่ปรากฏผลให้เห็นในเวลาต่อมา
Example
Mary was dark because she had been sunbathing.
I was tired because I had driving all day.
สรุป Tense คู่
1.Past Cont. VS Past Cont.
ใช้เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต
2. Past Cont. VS Past Simple
เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ก่อนแล้วใช้ Past Continuous
เหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกใช้ Past Simple
1. Past Perfect VS Past Simple
เหตุการณ์เกิดก่อนใช้ Past Perfect
เหตุการณ์เกิดหลังใช้ Past Simple
Tense นี้มีวิธีใช้เหมือนกัน Future Perfect ต่างกันตรงที่ว่า
Future Perfect Continuous เน้นความต่อเนื่องของเวลาและบ่งว่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต
Example
By dinner time I shall have been working for eight hours.
It will have
been raining for one hour if it doesn’t stop by four o’clock.
เปรียบเทียบ Future Perfect กับ Future Perfect Continuous
In will finish this book in January
next year, when I will have written this book for eight month.
การใช้ Future
Perfect Continuous Tense ในประโยคปฏิเสธตัวอย่างWe will
not (won’t) have been playing football.
( พวกเราไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอลอยู่
)I will
not (won’t) have been waiting for
you for a hour when you arrive. (ฉันไม่ได้กำลังรอคุณมาชั่วโมง
เมื่อคุณมาถึง)Tips
: เราอาจจะงงเกี่ยวกับการเลือกใช้ระหว่าง Future Perfect Continuous Tense กับ Future Perfect Tense ลองดูการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง 2 Tense นี้กันI will have
been eating the snacks for 2 hours. (Future Perfect Continuous Tense : ฉันกินขนม (ต่อเนื่อง) มาแล้ว 2ชั่วโมง (จะสื่อว่า หลังจากนี้ก็ยังคงดำเนิน(กินขนม)ต่อไป))I will have
eaten the snacks. (Future Perfect Tense : ฉันกินขนมไปแล้ว (สนใจผลลัพธ์ คือบอกว่ากินไปแล้ว))ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เก่งไม่ใช่เรื่องยากเลย
เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ structure,
meaning และ phonology ซึ่งสามอย่างนี้เราต้องฝึกฝนให้แม่นยำ
ในเรื่อง structure คนไทยจะผิดบ่อยมาก
เพราะในภาษาไทยจะแตกต่างกับภาษาอังกฤษ ทำให้คนไทยเกิดความมึนงง
ทั้งนี้เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างภาษาอังกฤษอย่างดีแล้ว ทำให้เราสามารถแปลความหมายได้จากเข้าใจ ซึ่งในเรื่องของกาล Tense นี้เป็นหัวใจหลักของไวยากรณ์ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้เพื่อสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี
Learning Log (ในชั้นเรียน)
18 th August, 2015
ในการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง
หรือให้ได้ดีนั้น ผู้เรียนจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอย่างดี โดยเฉพาะ structure meaning และ phonology ซึ่งสามอย่างนี้ต้องไปด้วยกัน
โดยเฉพาะเนื้อหาต้องแม่น นอกจากนี้โครงสร้างจะต้องแม่น เราจะผิดบ่อย
เพราะโครงสร้างในภาษาอังกฤษจะแตกต่างกับโครงสร้างในภาษาไทย ซึ่งในการแปล
โครงสร้างที่แตกต่างกันเป็นปัญหาทำให้เด็กไทยเรียนรู้ยาก
เราจำเป็นต้องศึกษาโครงสร้างภาษาอังกฤษให้แม่นยำ เพื่อสามารถแปลความหมายได้
ซึ่งในเรื่องของกาล (Tense)
ซึ่งเป็นหัวใจหลักของภาษาอังกฤษและเป็นปัญหาสำหรับคนไทย
เพราะในภาษาไทยเราไม่ต้องกังวลกับการผันคำกริยาตามกาลของประโยค ดังนั้น
เมื่อจะใช้ภาษาภาษาอังกฤษ คำถามแรกที่เราจะต้องคิดคือ เรื่องของกาล
การผันคำกริยาตาม
Tense นั้นจะเกี่ยวพันไปถึงพจน์ของประธานด้วย
เพราะคำกริยาจะผันหรือเปลี่ยนแปลงตามประธานของประโยคหรือคำกริยานั้นๆด้วย
ซึ่งเราจะค่อยๆดูกันไปทีละ Tense ในภาษาอังกฤษประกอบด้วย Tense
หลักๆ 3 ชนิด คือ
1.
Present Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2.
Future Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต
3.
Past Tense ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
1.Present Tense
1.1 Present Simple Tense
1.2 Present Continuous Tense
1.3 Present Perfect Tense
1.4 Present Perfect
Continuous Tense
2. Future Tense
2.1 Future Simple Tense
2.2 Future Continuous Tense
2.3 Future Perfect Tense
2.4 Future Perfect Continuous Tense
3. Past Tense
3.1 Past Simple Tense
3.2 Past Continuous Tense
3.3 Past Perfect Tense
3.4 Past Perfect
Continuous Tense
รวมทั้งหมดเป็น 12 Tenses พอดี
แต่ในความเป็นจริงแล้วเราจะใช้กันอยู่เพียงไม่กี่ Tense เท่านั้น ที่เหลือก็จะใช้ในกรณีเฉพาะเจาะจงเท่านั้น บาง Tense ก็แทบจะไม่ได้ใช้เลย เมื่อเราได้ทราบความหมายของ Tense หลักๆ ทั้ง 3 Tense แล้ว
ตอนนี้ก็ลองมาดูความหมายชนิดย่อยของ Tense และรูปแบบการใช้
คำว่า Simple
แปลว่า ปกติ ธรรมดาๆ เพราะฉะนั้น Present Simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น ปกติ ธรรมดาๆ
ในปัจจุบัน Past Simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น
ปกติ ธรรมดาๆ ในอดีต และในทำนองเดียวกัน Future
simple ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
ธรรมดาๆในอนาคต
คำว่า Continuous แปลว่า กำลังดำเนินไป ไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้น Present continuous ย่อมต้องใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่กำลังดำเนินไป และยังไม่สิ้นสุด
ในทำนองเดียวกัน Past Continuous ก็จะใช้กับประโยคที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตที่กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด และในทำนองเดียวกัน Future Continuous ก็จะไม่แตกต่าง เพราะจะใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังดำเนินไปและยังไม่สิ้นสุด
ณ. ช่วงเวลานั้นๆในอนาคต
คำว่า Perfect
แปลว่า เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้น Present Perfect จะเป็น Tense
ที่ใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันที่เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว ในส่วน
Past Perfect ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว และในทำนองเดียวกัน Future Continuous จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เสร็จสมบูรณ์ ณ. ช่วงเวลานั้นๆในอนาคต
คำว่า Perfect Continuous แปลว่า
เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ดังนั้น Present Perfect Continuous Tense ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับ Past Perfect Continuous ก็จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
ณ.เวลานั้นๆในอดีต
และในทำนองเดียวกัน Future Perfect Continuous จะใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่เริ่มไปแล้วและดำเนินต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆณ.เวลานั้นๆในอนาคต
รูปแบบของ Tense ต่างๆ ดังนี้
Tense
|
Structure
|
Present Simple
|
s. + v.1
|
Present Continuous
|
s. + is , am , are + v. ing
|
Present Perfect
|
s. + has , have + v.3
|
Present Perfect Continuous
|
s. + has, have + been + v.ing
|
Past Simple
|
s. + v.2
|
Past Continuous
|
s. + was, were + v. ing
|
Past Perfect
|
s. + had + v.3
|
Past Perfect Continuous
|
s. + had + been + v.ing
|
Future Simple
|
s. + will/shall + v.inf
|
Future Continuous
|
s. + will/shall + be + v.ing
|
Future Perfect
|
s. + will/shall + have + v. 3
|
Future Perfect Continuous
|
s. + will/shall + have been + v.ing
|
Present Simple Tense
Form =
s. + v.1
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์เป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์
Example
1. The earth moves round the sun.
2. Fish swims in the water.
3. Fire is hot.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
Example
She gets up early every day.
Dr. Oak always comes
to P’ Nan house twice a week.
Thai people give respect to the old.
Note : Adverb of Frequency ต่อไปนี้มักจะใช้กับ present
simple tense often, always, sometimes, usually, generally, rarely, seldom,
scarcely, hardly, never, now and again,
from time to time, occasionally, as a rule, once a week, every other day, every
night/day/week
3.ใช้พูดถึงเรื่องจริงในปัจจุบัน
หรือเล่าเหตุการณ์ต่อเนื่อง เช่น demonstrations, commentariesหรือเป็น informal narrative
Example
In Act 1, Hamlet meets
the ghost of his father.
4.อาจใช้พูดถึง past ได้ในกรณี
ทำให้เหตุการณ์นั้นดูสดใหม่
Example
Christopher Columbus discovers “the
New World”
5. โดยปกติแผนเตรียมการต่างๆที่จะกระทำในอนาคตอันใกล้
ให้ใช้ Present Simple แทน Future Simple ได้
Example
They start on their trip tomorrow.
I leave by the 2.30 train afternoon.
ข้อสังเกต
1.สำหรับประโยคบอกเล่า (Positive) ปกติจะไม่ใช้กริยาช่วย นอกจากต้องการเน้น เช่น
I do love you.
2.สำหรับประธารเอกพจน์
บุรุษที่ 3 he, she, it เติม s, es ที่กริยาหลัก
3. สำหรับ verb to be ที่กริยาหลัก
ปกติจะไม่มีกริยาช่วย แม้ในประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถาม เช่น
She is cute. She doesn’t be cute. (F ) She isn’t cute (T)
Present Continuous Tense
Form = s. + is,
am, are + v.ing
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์ around
now อาจเป็นเหตุการณ์ระยะยาวที่ไม่ได้กระทำอยู่ขณะที่พูดก็ใช้ได้เหมือนกัน
Example
We are studying English at Present.
The dog is running towards here.
She is knitting a pullover for her
son.
Note: ถ้าเจอ adverb of time ต่อไปนี้มักจะเป็น
Present Continuous
now , at the moment, today, at
present ,still, for the time being, right now, currently, at the present time
2.คำกริยาบางตัว Simple Verb เราจะไม่ใช้รูป Present Continuous แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้นหรือกำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันก็ตาม
เช่น verb to be I am late now. กริยาเหล่านี้แบ่งออกเป็น 6
ชนิดย่อยๆ คือ
2.1 Verb
of Perception ได้แก่
กริยา see, hear, smell, notice, observe, taste
Example
I see that
it is raining again.
2.2กริยาที่แสดงความนึกคิด เช่น know, understand, think, believe,
disbelieve,
Example
He knows as much about the lesson as you
do.
I believe
what he is saying is true.
2.3 กริยาที่แสดงความชอบและไม่ชอบ เช่น like, dislike, love, hate,
prefer, forgive, trust, distrust
Example
I like
the movie I saw yesterday.
2.4 กริยาที่แสดงความปรารถนา เช่น wish, want, desire
Example
She wants
to go the Italy.
2.5กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น possess, have, own, belong to
Example
This bicycle belongs to me brother.
2.6 กริยาเฉพาะบางคำ (ข้อยกเว้น) ส่วนใหญ่เป็นกริยาแสดงสภาพ
เช่น be, appear, seem, mean, please, displease, differ, depend,
resemble, deserve, refuse, result, suffice, consist of , contain, hold, fit,
suit
Example
He resembles
his father.
3. ใช้กับอนาคตที่ตัดสินใจแล้ว
Example
What are you
doing tomorrow ? I am seeing
Tim
You are
leaving for the airport at 8 a.m.
4. Describe
change ใช้กับ อธิบายการเปลี่ยนแปลง (มักใช้ขั้นกว่า)
Example
The Climate is
getting warmer.
5. Background เหตุการณ์ก่อน
Example
P’ Tingly is
working on this work when P’ Nus arrives.
Jack is walking
through the jungle when he meets a gorilla.
6. Commentaries
เช่น เวลาพากย์กีฬา
-Simple Tense ใช้กับ quicker
actions
-Continuous Tense ใช้กับ
longer actions
เช่น Simple
Tense ใช้กับ football, continuousใช้กับ boat
race
Example
Oxford is
drawing slightly ahead of Cambridge now it is rowing with a beautiful rhythm:
Cambridge is looking a little disorganized.
หมายเหตุ
1.ปกติถ้าเราพูด I
always do something หมายถึง การกระทำอย่างนั้นทุกครั้ง แต่ถ้า ใช้
I am always doing something หมายถึง เป็นการกระทำบ่อยๆแต่ไม่ใช่ทุกครั้ง
Example
I’ve lost my again. I ‘m always losing
thing.
You’re
always watching television. You should do something
more active.
2. Simple Verb ทำเป็น Continuous
ไม่ได้หรือบางตัว ถ้าทำได้ก็จะมีความหมายที่ต่างออกไป
1. Think = ไตร่ตรอง
ตัดสินใจ
I’m thinking about buying a new car.
Think = แสดงความคิดเห็น,
คิดว่า
I think I will go swimming after lunch.
See = ไปพบ , พบกัน
We are seeing friends at weekends.
See = เห็น
I see children playing in the yard.
Hear = ได้ข่าว, ทราบว่า
He is hearing the orchestra play at BITEC.
Hear = ได้ยิน
I hear someone calling my name. etc.
สรุป Present Continuous Tense
1.Around now
2.Describe change
3.Future
4.Background
5.Simple V.
Present Perfect Tense
Form S. + has, have + v.3
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 เกิดขึ้นและจบลงในอดีต
แต่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน
Example
The president has been shot.
1.2 เกิดขึ้นในอดีต
และดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มักมี since หรือ for
Since ตั้งแต่
ใช้กับจุดเวลา เช่น since
then, since yesterday, since Christmas.
Example
We have lived
in this house since our father died.
For เป็นเวลา ใช้กับ
จำนวนเวลา นับตั้งแต่เหตุการณ์จนถึงขณะพูด เช่น for
twenty minutes, for ages, for the last month, for the last two years.
Example
Billy hasn’t
written to me for three days.
So far / Up to now / Up
to the present time
Example
Up to now we have had no news from John.
2.ประสบการณ์
มักมี adverb
Of time ต่อไปนี้
Never ไม่เคย ใช้เป็น
ประโยคปฏิเสธ
Example
I’ ve never
been there.
Ever = เคยไหม ใช้กับ ประโยคคำถาม
Example
Have you ever been to the UK ?
Many time, several time,
over and over, again and again.
Example
He has made
the same mistake again and again.
3.เพ่งจะจบ
มักมี adverb
of time ต่อไปนี้
Already and Yet
Aready (เรียบร้อยแล้ว)
ใช้กับ ประโยคบอกเล่า
Example
Yes, he has
already come back.
Yet (ยัง)
ใช้กับประโยคคำถามกับปฏิเสธ
Example
We have not
yet read that book.
Has he come back yet ? (Question)
No, he has
not back yet. (Neg. Ans.)
Lately/Recently = เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเร็วๆนี้
Example
My friend has
recently got married.
Just = เพ่งจะ
Example
P’ Nan has
just arrived the Enconcept.
สรุป
1.เพ่งจะจบ
2.ยังไม่จบ
3. ประสบการณ์
ข้อควรระวัง
Yet ใช้ในประโยคคำถาม
ปฏิเสธ
Already ใช้ในประโยค
บอกเล่า
Lately ใช้ในประโยค
คำถาม ปฏิเสธ
ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าจะใช้ recently
Ever ใช้ในประโยคคำถาม
ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าจะใช้ used to + v. inf.
Present Perfect Continuous
Form s. + has,have + been + v.ing
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ต่างกับ present perfect ตรงที่ เน้นความต่อเนื่องของเวลา+ บอกว่าจะเกิดขึ้น
Example
It has been raining.
She has been working in that hotel
for the last two years.
1.2 ใช้กับเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว
ยังทิ้งร่องรอยอยู่
The workmen have been digging up the
road and now the traffic cannot pass.
What have you been eating ? You lips
and chin are purple.
หมายเหตุ V. ที่แสดงความต่อเนื่อง + stative
v. จะใช้ present perfect continuous ไม่ได้
ให้ใช้ present perfect simple แทน
Example
The train has arrived.
I’ve wanted to visit China for
years.
แอบรู้ สำหรับ v. ที่แสดง long action ใช้ได้ทั้งสองตัวโดยไม่มีความแตกต่างเลย
เช่น live
Example
How long have you lived in Oxford ?
How long have you been living in
Oxford ?
Present
Perfect Continuous
Form s. + has,have + been +
v.ing
Usage
1.ยังไม่จบ
1.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ต่างกับ present perfect ตรงที่ เน้นความต่อเนื่องของเวลา+ บอกว่าจะเกิดขึ้น
Example
It has been
raining.
She has been
working in that hotel for the last two years.
1.2 ใช้กับเหตุการณ์ซึ่งได้เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปแล้ว ยังทิ้งร่องรอยอยู่
The workmen have
been digging up the road and now the traffic cannot pass.
What have you
been eating ? You lips and chin are purple.
หมายเหตุ V. ที่แสดงความต่อเนื่อง + stative
v. จะใช้ present perfect continuous ไม่ได้
ให้ใช้ present perfect simple แทน
Example
The train has
arrived.
I’ve wanted to
visit China for years.
แอบรู้ สำหรับ v. ที่แสดง long action ใช้ได้ทั้งสองตัวโดยไม่มีความแตกต่างเลย
เช่น live
Example
How long have
you lived in Oxford ?
How long have
you been living in Oxford?
Past
Simple Tense
Form s. + v.2
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงในอนาคต
1.1
แสดงถึงการกระทำอันเป็นนิสัยที่ปัจจุบันเลิกปฏิบัติไปแล้ว ใช้ Used to + v. inf. แทน
v.2 ก็ได้
Example
Mr. Smith taught
in Japan. ( But now he teaches in Thailand.)\
Mr. Smith used
to teach in Japan.
Did your father smoke when he was young
?
1.2มักใช้กับ adverb of time ต่อไปนี้
yesterday, last night, at that time,
formerly, in the
past, just now, ago, the day before yesterday,once,
Example
She fell asleep
a few minutes ago.
Did P’ Nan go to your
birthday party last night?
หมายเหตุ
ประโยคที่มีคำว่า always, sometimes, often, usually,
every day, etc.
อาจจะเป็น present หรือ past ก็ได้ ถ้าเป็น past จะบอกเวลาในอดีตกำกับ
Example
We usually learned
English six hours a week when we were in M.3.
She went
to school every day last week.
2.ใช้กับการบอกเล่าเรื่องราวในอดีตตามลำดับเหตุการณ์
Example
This morning I got up at six o’clock
, took a bath, had
breakfast, and went to work.
Past
Continuous Tense
Form s.+ was,
were + v.ing
Usage
1.ใช้กับเหตุการณ์อดีตที่ระบุเวลาชัดเจน
Example
He was
having breakfast at eight o’clock yesterday.
I was
reading a book at this time yesterday.
Example
While they were playing theirnew records, I was
reading my new book.
The students were thinking about their
lunch while P’Ant was explaining new words.
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังดำเนินอยู่ใช้ Past Continuous ส่วนเหตุการณ์สั้นๆที่เข้ามาแทรกใช้ Past
Simple
Example
He
saw an accident while he was walking he was walking along the street.
He was
sleeping when the robbers come in.
Past Perfect
Tense
Form = s. + had + v.3
Usage
1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งเหตุการณ์อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แรกจบลง และมักเชื่อมด้วยคำว่า when,
before, after, until, as soon as, by the time
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้
Past Perfect
เหตุการณ์ที่เกิดหลัง
ใช้ Past Simple
Example
The
bus had left before I arrived.
By the time the doctor came, the
poor man
had died.
Past
Perfect Continuous
Form = s. + had +been +v.ing
Usage
1. ใช้เหมือนกับ Past perfect นั่นเอง แต่ต่างกับ Past Perfect ตรงที่
1. ใช้กับ temporary
action แต่ถ้าเป็น longer
– lasting action จะใช้ past perfect เช่น
My legs were stiff because I had been standing
still for a long time.
1.
เน้น continuous of an activity
Example
When I got to the class, Aum had been speaking for
twenty minutes.
She had been
living in Phrae for ten years before she moved to Lampang.
หมายเหตุ
1.กริยาบางตัวเท่านั้นที่ใช้รูป Perfect
Continuous ได้ เช่น wait, work, lie, sleep, go,
play,talk,sit, etc… ซึ่งเป็นกริยาที่แสดง long action
2.อาจใช้แสดงการกระทำที่เป็นอดีต
แต่ปรากฏผลให้เห็นในเวลาต่อมา
Example
Mary was dark because she had been sunbathing.
I was tired because I had driving all day.
สรุป Tense คู่
1.Past Cont. VS Past Cont.
ใช้เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันในอดีต
2. Past Cont. VS Past Simple
เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ก่อนแล้วใช้ Past Continuous
เหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกใช้ Past Simple
1. Past Perfect VS Past Simple
เหตุการณ์เกิดก่อนใช้ Past Perfect
เหตุการณ์เกิดหลังใช้ Past Simple
Tense นี้มีวิธีใช้เหมือนกัน Future Perfect ต่างกันตรงที่ว่า
Future Perfect Continuous เน้นความต่อเนื่องของเวลาและบ่งว่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต
Example
By dinner time I shall have been working for eight hours.
It will have
been raining for one hour if it doesn’t stop by four o’clock.
เปรียบเทียบ Future Perfect กับ Future Perfect Continuous
In will finish this book in January
next year, when I will have written this book for eight month.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น